หลังผ่านการเลือกตั้งทั่วไป 24 มี.ค. 62 ประเทศไทยกำลังเดินหน้าเข้าสู่การเลือกตั้งอีกครั้ง อย่างน้อย 4 เขต ด้วยเหตุผลที่ต่างกันไป

ผลการเลือกตั้งเมื่อ 24 มี.ค. 2562
เขต 5 นครปฐม นางจุมพิตา จันทรขจร ส.ส.พรรคอนาคตใหม่ ลาออกเนื่องจากปัญหาสุขภาพ คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) กำหนดเลือกตั้งซ่อม 23 ต.ค. 62
เขต 2 กำแพงเพชร พ.ต.ท.ไวพจน์ อาภรณ์รัตน์ ส.ส.พรรคพลังประชารัฐ ศาลออกหมายเรียกให้ฟังคำพิพากษาคดี นปช.ล้มประชุมอาเซียน 2552 ในวันที่ 31 ต.ค. 62 โดยหนึ่งในจำเลยร่วมถูกตัดสินจำคุก ไปแล้ว 4 ปี หาก พ.ต.ท.ไวพจน์ ถูกตัดสินด้วยโทษเดียวกันจะขาดจากความเป็น ส.ส.
เขต 7 ขอนแก่น นายนวัธ เตาะเจริญสุข ส.ส.พรรคเพื่อไทย ถูกศาลพิพากษาประหารชีวิต คดีจ้างวานฆ่าและไม่ได้รับการประกันตัว สถานภาพ ส.ส.ยังไม่ชัดเจนว่าสิ้นสุดลงแล้วหรือไม่ โดย กกต.ส่งเรื่องให้ศาลรัฐธรรมนุญเป็นผู้วินิจฉัย
เขต 5 สมุทรปราการ นายกรุงศรีวิไล สุทินเผือก ส.ส.พลังประชารัฐ มีรายงานว่า กกต.เตรียมให้ใบเหลือง เลือกตั้งใหม่ จากกรณีคนใกล้ชิดใส่ซองช่วยงานศพในช่วงเลือกตั้ง ซึ่งกรณีนี้แม้ กกต.จะให้ใบเหลืองจริงก้ต้องรอคำพิพากษาจากศาลฎีกาด้วย
จากทั้ง 4 กรณีนี้ ได้รับการจับตามองว่า ผลของการเลือกตั้งซ่อมจะส่งผลทางการเมืองเป็นอย่างยิ่ง เพราะรัฐบาลมีเสียงใกล้เคียงกับฝ่ายค้านอย่างมากในลักษณะ “ปริ่มน้ำ” หากเสีย 2 เก้าอี้เดิมที่ กำแพงเพชร และสมุทรปราการ โดยชิงเก้าอี้ที่ นครปฐมและขอนแก่นมาไม่ได้ จะทำให้สถานภาพของฝ่ายรัฐบาลอันตรายมากขึ้น ยามที่ต้องโหวตหรือลงมติในเรื่องที่สำคัญ
.
หลังเลือกตั้งฝ่ายรัฐบาลมี 254 เสียง แต่ภายหลังที่ นายมงคลกิตติ์ สุขสินธารานนท์ พรรคไทยศรีวิไลย์ และ นายพิเชษฐ สถิรชวาล พรรคประชาธรรมไทย ประกาศขอเป็นฝ่ายค้านอิสระ ทำให้เหลือ 252 เสียง หักอีก 2 เขตที่จะต้องเลือกตั้งใหม่จะเหลือ 250 เสียง และถ้าไม่รวม ประธานสภาผู้แทนราษฎรและรองประธานสภา รวม 3 คน ที่โดยมารยาทจะงดออกเสียง เสียงของฝ่ายรัฐบาลก่อนเลือกตั้งซ่อมจะเหลือ 247 เสียง
.
ฝ่ายค้านเดิม 246 เสียง หัก 2 เขตที่ต้องเลือกตั้งใหม่จะเหลือ 244 เสียง และถ้าไม่นับรวมเสียงของนายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ หัวหน้าพรรคอนาคตใหม่ ที่ศาลรัฐธรรมนุญให้หยุดปฏิบัติหน้าที่จะเหลือ 243 เสียง

3 ผู้สมัครสำคัญจาก 3 พรรค นายเผดิมชัย สะสมทรัพย์ (ชาติไทยพัฒนา) นายสุรชัย สุรชัย อนุตธโต (ประชาธิปัตย์) นายไพรัฏฐโชติก์ จันทรขจร (อนาคตใหม่)
ช่องว่างของ 2 ฝ่าย 4 เสียง กับการเลือกตั้งซ่อม 4 เขต จึงเป็นจุดหัวเลี้ยวหัวต่อของการเมืองไทย นายธนาธร และแกนนำพรรคอนาคตใหม่ ชูประเด็นหาเสียงเลือกตั้งซ่อมนครปฐมว่าขอให้เป็นโดมิโน่ตัวแรก ที่พรรคร่วมฝ่ายค้านจะชนะเลือกตั้งทั้งหมดทุกเขต เพราะถ้าได้ทั้งหมดเสียงจะขยับมาเท่ากับฝ่ายรัฐบาลที่ 247 ต่อ 247 (ไม่รวมฝ่ายค้านอิสระ 2 / ประธานและรองประธานสภา 3 และ ธนาธร)
.
ขณะที่พรรคพลังประชารัฐ แกนนำของฝ่ายรัฐบาลก็ตัดสินใจถอนตัวไม่ส่งผู้สมัครลงเลืกตั้งซ่อมที่นครปฐม เพื่อเปิดทางให้ พรรคประชาธิปัตย์ พรรคร่วมรัฐบาลลงสู้ศึกเต็มที่และชิงเก้าอี้มาให้ได้ (แต่ไม่สามารถเจรจา พรรคชาติไทยพัฒนา อีกพรรคร่วมรัฐบาลให้ถอนตัวได้) ซึ่งถ้าฝ่ายรัฐบาลชิงพื้นที่เดิมของฝ่ายค้านมาได้ และรักษา 2 เก้าอี้เดิมไว้ได้ด้วย ก็จะยิ่งเพิ่มช่องว่างให้มากขึ้น
.
การเมืองไทยจึงกลับมาร้อนแรงอีกครั้งผ่านการเลือกตั้งของประชาชนซึ่งจะเป็นผู้ตัดสินใจว่าจะเลือกใครและฝ่ายใด
.
