เตรียมออกหมายจับ “เมียบิ๊กตำรวจ” ฉกทรัพย์
เตรียมออกหมายจับ “เมียบิ๊กตำรวจ” ฉกทรัพย์
ตำรวจเตรียมออกหมายจับเมียบิ๊กตำรวจคนดัง ฉกทรัพย์ 5.7 ล้าน - ผู้เสียหายแฉผู้ก่อเหตุเคยฝากถุงกระสอบขนาดใหญ่ไว้ ข้างในมีทรัพย์สินมหาศาล ฝ่ายสามียันคีย์การ์ดถูกขโมยไป
(24 ต.ค. 67) จากกรณีที่ น.ส.ธณัฎฐา (ขอสงวนนามสกุล) อายุ 50 ปี ผู้เสียหายได้เข้าร้องทุกข์ต่อพนักงานสอบสวน สน.พระโขนง เมื่อเวลา 23.23 น. วันที่ 20 ต.ค. ว่าถูกภรรยานายตำรวจยศนายพลที่มีชื่อเสียงโด่งดัง เข้าไปขโมยทรัพย์สินในห้องพักในคอนโดมิเนียมหรู ซอยสุขุมวิท 101 โดยผู้เสียหายได้ให้ข้อมูลกับตำรวจว่า ตนและสามีพักอาศัยอยู่ที่คอนโดฯแห่งนี้ แต่ตอนนี้ได้ย้ายไปพักย่านพุทธมณฑล เนื่องจากทำงานที่โรงเรียนนายร้อยตำรวจ ส่วนสามีจะไปพักที่คอนโดฯแห่งนี้เป็นประจำ
ต่อมาเวลาประมาณ 14.00 น. วันที่ 18 ส.ค. ที่ผ่านมา ตนทราบว่า ภรรยานายตำรวจยศคนดังได้ใช้คีย์การ์ดเปิดเข้าไปในห้องที่คอนโดฯ จึงเดินทางไปที่คอนโดฯ พบว่าทรัพย์สินที่เก็บไว้ในลิ้นชักตู้เสื้อผ้าทั้ง 6 รายการได้หายไป รวมมูลค่ากว่า 5 ล้านบาท โดยเป็นทรัพย์สินที่ตนและสามีจัดซื้อมาเพื่อเตรียมใช้ในงานแต่งงาน หลังเกิดเหตุได้ติดต่อทวงถามโดยตลอด แต่ไม่สามารถติดต่อภรรยานายตำรวจยศนายพลคนดังได้ จึงตัดสินใจเข้าแจ้งความ นั้น
วันนี้ทีมข่าวได้วิดีโอคอลพูดคุยกับนางธณัฎฐา หรือคุณหนิง ผู้เสียหาย เปิดใจกับทีมข่าวว่า ตนเองคบหากับสามี ซึ่งเป็นตำรวจระดับผู้กำกับได้ประมาณ 3 ปี โดยจดทะเบียนกันอย่างถูกต้อง และมีกำหนดจะแต่งงานกันในวันที่ 18 กุมภาพันธ์ 2568 ซึ่งตนเองยืนยันว่าตลอด 3 ปีที่คบหากับสามียศพันตำรวจเอก ไม่เคยรู้เลยว่าสามี ไปสนิทกับภรรยาของบิ๊กตำรวจ
กระทั่งปลายปี 2566 ทางสามีก็มาเล่าให้ฟังว่าเป็นเพื่อนสนิทกับนางข้าวหอม(นามสมมติ) ภรรยาของบิ๊กตำรวจ และยังบอกว่าเคยเป็นแฟนกันแต่เลิกกันมานานแล้ว และที่กลับมาคุยกัน เนื่องจากนางข้าวหอม อ้างว่ามาปรึกษาเรื่องคดีของบิ๊กตำรวจกับสามี ซึ่งพอตนเองรับรู้ก็ไม่ได้เอะใจ
มาถึงต้นปี 2567ตนเองไปเห็นแชทที่นางข้าวหอม ทักมาหาสามีตนเอง โดยบอกว่าจะบินไปต่างจังหวัดและมีการขอนัดเจอกับสามี ซึ่งพอตนเองเห็น ก็นิ่งไว้โดยไม่ถามกับสามีว่านัดเจอกันทำไม อีกอย่างไม่มีหลักฐานจึงปล่อยให้เขาทั้งสองคนติดต่อกันไปก่อน กระทั่งด้วยความสงสัยว่าเขาติดต่อและนัดเจอกันบ่อย ตนเองจึงนำกล้องวงจรปิดไปติดไว้ที่บ้านคลอง 7 ปทุมธานี ซึ่งเป็นบ้านที่ใช้ชีวิตอยู่ ส่วนคอนโดเป็นคอนโดที่ซื้อเอาไว้ตอนที่สามีมารับตำรวจ และหลังจากซื้อบ้านได้ใช้คอนโดเป็นห้องเก็บของ
ช่วงเดือนพฤษภาคม วันที่นางข้าวหอม นัดไปเจอกับสามีที่บ้านคลอง 7 ยอมรับว่าสามี ก็บอกว่านางข้าวหอม จะมาหาที่หน้าหมู่บ้าน โดยตนเองก็อนุญาตให้เขาไปเจอกัน แต่ปรากฎว่า หลังจากเจอกันที่หน้าหมู่บ้าน นางข้าวหอม ซึ่งขับรถหรูมา ได้ขอให้สามีพาไปเข้าห้องน้ำภายในบ้าน และหลังจากเข้าห้องน้ำ ตามภาพกล้องวงจรปิดที่ตนเองติดเอาไว้ เห็นนางข้าวหอม เดินไปคุกเข่าตรงโซฟาที่สามีนั่งอยู่ และก็ทำอย่างว่ากันบนโซฟา ซึ่งหลักฐานกล้องวงจรปิดตนเองไม่สามารถนำมาเปิดเผยได้เพราะมันอุจาดตา แต่ก็บันทึกหลักฐานเอาไว้ และก็ยังไม่ได้บอกกับสามีว่าเห็นอะไรบ้าง
เช้าอีกวันต่อมา ตนเองก็ตัดสินใจถามกับสามีตรงๆว่า มีอะไรกับนางข้าวหอม ใช่หรือไม่ ซึ่งสามี ก็ไม่ยอมรับ กระทั่งตนเองเปิดคลิปให้ดู จนสามียอมรับ โดยสารภาพว่าผู้หญิงเป็นคนเริ่มก่อน และอ้างว่าไม่ได้อยากมีอะไรกับนางข้าวหอม แต่ที่มีอะไรไป เป็นเพราะว่าอยากทดลองความรู้สึกว่ายังมีใจให้กับนางข้าวหอม อยู่หรือไม่ ซึ่งหลังจากสามี รับสารภาพ ตนเองก็ไม่ได้ติดใจอะไร จึงไม่ได้โทรศัพท์ไปถามกับนางข้าวหอม
จนกระทั่งช่วงเดือนสิงหาคม จู่ๆนางข้าวหอม ก็โทรศัพท์เข้ามาหาสามีอีก ซึ่งวันนั้นตนเองเป็นคนรับสาย โดยได้พูดคุยกันตามในคลิป โดยนางข้าวหอม ไม่ยอมรับและยังท้าว่าอยากจะทำอะไรก็ทำไปเลย ในส่วนประเด็นคีย์การ์ดห้องตนนั้น ตนยอมรับว่าหลังทราบเรื่องตนได้มีการทะเลาะกับสามี ซึ่งสามีก็ยืนยันว่าคีย์การ์ดดังกล่าวสามีไม่ได้เป็นคนให้นางข้าวหอม แต่นางเข้าหอมแอบขโมยคีย์การ์ดไป
ส่วนประเด็นเรื่องทรัพย์สินที่หายไปจากคอนโด ยอมรับว่าก่อนที่จะจับได้เรื่องชู้สาว ตนเองรู้ว่านางข้าวหอม นำของมาฝากเก็บไว้กับสามี โดยของนั้นเป็นของเป็นทรัพย์สินมีค่ามหาศาล ที่อยู่ในถุงกระสอบสายรุ้ง จำนวน 5 ใบ ซึ่งตนเองก็เคยแอบเปิดดู แต่ก็ไม่ได้สนใจอะไร
จนกระทั่งวันที่ 18 สิงหาคม หลังจากเรื่องชู้สาวแดงขึ้นมา จู่ๆ นางข้าวหอม ก็ได้เดินทางมาเอาถุงกระสอบที่คอนโด พร้อมกับผู้ชาย 3 คน ก่อนที่หลานชายของตนเองจะเข้ามาเห็นในขณะที่นางข้าวหอม เปิดห้องเข้าไปขนของ ตอนนั้นตนเองก็ปล่อยให้เขาขนของออกไป โดยไม่ได้ระวังว่าทรัพย์สินมีค่าคือทองและเงินสดของตนเองรวมมูลค่าประมาณ 4.8 ล้าน จะหายไปด้วย
ที่ไม่แจ้งความในวันที่รู้ว่าทรัพย์สินส่วนตัวหาย เนื่องจากทางสามีขอเอาไว้ว่าจะไปตามทรัพย์สินคืนมาให้ และวันที่ 20 ตุลาคม ที่ตัดสินใจเข้าแจ้งความ เป็นเพราะว่านางข้าวหอม ผิดนัดโดยบอกว่าจะเอาของมาคืนให้ ซึ่งที่ผ่านมา ตนเองไม่เคยโทรศัพท์ไปหาบิ๊กตำรวจที่เป็นสามีของข้าวหอม แต่เคยไปตามทรัพย์สินคืนที่หน้าบ้านของเขา แต่ไม่ได้เจอกับนางข้าวหอม เนื่องจากมีนายเวรของบิ๊กตำรวจ เป็นคนออกมาคุย และวันเดียวกันนั้น ตนเองก็ได้ฝากชุดชั้นในของนางข้างหอม ไปกับนายเวรของบิ๊กตำรวจ และฝากจดหมายไปถึงนางข้าวหอม 1 ฉบับ และเขียนจดหมายไปถึงบิ๊กตำรวจอีก 1 ฉบับ โดยขอร้องให้เอาทรัพย์สินส่วนตัวมาคืน แต่ก็ไม่ได้รับการติดต่อจากนางข้าวหอม และบิ๊กตำรวจซึ่งเป็นสามีของเขา
นอกจากนี้ ตนยังพบว่า นางข้าวหอมได้ลืมกระเป๋าเอกสารไว้ภายในห้องของตน ด้วยความเอะใจ ตนจึงเปิดกระเป๋า ดูและพบใบเสร็จซื้อทองเป็นจำนวนมาก ซึ่งตนก็ไม่มั่นใจว่า ใบเสร็จพวกนี้ มีส่วนเกี่ยวข้องกับนางข้าวหอมอย่างไร
เรื่องที่เกิดขึ้นทั้งหมด ยอมรับว่าตกใจมากที่เมียของบิ๊กตำรวจ มาทำแบบนี้กับตนเอง ส่วนเรื่องคดี และถ้าหากนางข้าวหอม อ้างว่าทรัพย์สินติดไปด้วยในขณะที่มาขนกระสอบออกไป และยอมนำของมาคืน ตนจะยอมถอนแจ้งความหรือไม่นั้น ตนไม่สามารถตอบได้เพราะหลังจากนี้หากตนจะทำอะไรต้องรายงานผู้ใหญ่ให้ทราบ เพราะเรื่องดังกล่าว อาจจะมีส่วนเกี่ยวโยงกับคดีฟอกเงินของ ตำรวจบิ๊กใหญ่ก็เป็นได้
ส่วนประเด็นกระแสข่าวที่ ตนเองไม่แจ้งความตั้งแต่แรก เป็นเพราะว่าไปขู่เรียกเงินเพื่อ แบล็คเมล์ ภรรยาของบิ๊กตำรวจ ยืนยันว่าไม่เป็นความจริง เพราะมีหลักฐานยืนยันและตรวจสอบได้
ต่อมาทีมข่าวได้เดินทางมาที่สน.พระโขนง เพื่อติดตามความคืบหน้าคดีดังกล่าว พ.ต.อ.ชัยวัฒน์ ประดับไทย ผกก.สน.พระโขนง ให้ข้อมูลกับทีมข่าวว่า ขณะนี้ตำรวจอยู่ระหว่างรอผลการรวบรวมพยานหลักฐาน ภายหลังที่เจ้าหน้าที่ตำรวจ สน.พระโขนง พร้อมด้วยเจ้าของพิสูจน์หลักฐาน ได้เดินทางมาเก็บหลักฐานคอนโดที่เกิดเหตุ
ส่วนข้อเท็จจริง ในเบื้องต้น ตำรวจ สน.พระโขนง ก็รับข้อมูลมาจากผู้เสียหาย ตามคำกล่าวอ้างที่ไปออกรายการทีวี และผู้ที่ถูกกล่าวหาก็คือภรรยาของบิ๊กตำรวจ หลังจากนี้ หากตำรวจสอบปากคำผู้เสียหายแล้วเสร็จ ก็จะมีการออกหมายเรียกไปถึงภรรยาของบิ๊กตำรวจตามขั้นตอน และถ้าออกหมายเรียก 2 ครั้งแล้วไม่มาพบตำรวจ ทางตำรวจก็จะออกหมายจับตามข้อหาที่ทางผู้เสียหายมาแจ้งความไว้กับตำรวจ