ขยายผลจับคนขายข้อมูลส่วนบุคคลให้ "แก๊งโอริโอ้" เร่งล่าตัวอดีตรองนายกเทศมนตรีจันดี

เมื่อเวลา 12.30 น. วันที่ 7 ก.พ.68 ที่บัญชาการตำรวจสืบสวนสอบสวนอาชญากรรมทางเทคโนโลยี (บช.สอท) พล.ต.ท.ไตรรงค์ ผิวพรรณ ผบช.สอท หรือ ตำรวจไซเบอร์ แถลงผลการดำเนินคดีเครือข่ายแก๊งโอริโอ้ ซึ่งเป็นการขยายผลจากการจับกุม นายรัชพล (สงวนนามสกุล) อายุ 16 ปี แอดมินที่คอยขายข้อมูลส่วนบุคคลให้กับแก๊งโอริโอ้ จนพบข้อมูลเชื่อมโยงไปยังนายวิชัย (สงวนนามสกุล) อายุ 31 ปี ที่มีการนำข้อมูลส่วนบุคคล จากบริษัทขนส่งเอกชนชื่อดังมาขายในระบบ และจ้างนายรัชพลให้เป็นผู้ดูแล โดยให้ค่าตอบแทนแบบแพ็กเกจรายวัน 300 บาท , รายสัปดาห์ 1,000 บาท และแบบรายเดือน 2,500 บาท 

เจ้าหน้าที่ จึงได้ขออนุมัติหมายค้นศาลอาญามีนบุรี เข้าตรวจค้นบ้านหลังหนึ่งในซอยสุขาภิบาล 5 ซอย 5 แขวงท่าแร้ง เขตบางเขน กรุงเทพฯ พบอุปกรณ์คอมพิวเตอร์ 2 เครื่อง และโทรศัพท์มือถือ 2 เครื่อง พบข้อมูลที่เชื่อมโยงไปยังการซื้อขายข้อมูลส่วนบุคคล และยาไอซ์ 1.8 กรัม รวมทั้งปืนลูกโม่ขนาด .38 อีก 1 กระบอกพร้อมเครื่องกระสุนปืน จึงตรวจยึดเป็นของกลาง และควบคุมตัวมาสอบปากคำ

นายวิชัย ให้การว่า การขายข้อมูลส่วนบุคคลจะมีแพ็กเกจดังกล่าว ซึ่งลูกค้าจะเลือกแพ็คเกจ หลังจากที่โอนเงินมา ก็จะทำการส่งลิงก์ไปให้ เพื่อให้ลูกค้าไปค้นหาเลือกข้อมูลเอง ซึ่งลิงก์ดังกล่าวจะมีวันหมดอายุตามแพ็กเกจ รายวัน รายสัปดาห์หรือรายเดือน ส่วนเรื่องข้อมูลส่วนบุคคลนั้น นายวิชัย ไม่ได้ให้การใดๆ ซึ่งตำรวจได้มีการประสานไปยังบริษัทขนส่งเอกชนดังกล่าวแล้ว แต่ก็ยังไม่ได้รับการติดต่อ จากนี้จะประสานไปยังบริษัทฯ ให้เข้ามาให้ข้อมูล ถ้ายังนิ่งเฉยอีกก็จะพิจารณาแจ้งข้อกล่าวหาที่เกี่ยวข้อง

ส่วนกรณีที่ตำรวจไซเบอร์ จับกุมตัวลูกสาวอดีตรองนายกเทศมนตรีจันดี (นายกเล็กจันดี) จ.นครศรีธรรมราช ร่วมขบวนการคอลเซ็นเตอร์ชาวจีนรายใหญ่ หลังหลบหนีมากบดานใน จ.สมุทรสาคร ยืนยันว่าจะเร่งติดตามหาผู้ร่วมขบวนการคนอื่นๆ ซึ่งวานนี้ (6 ก.พ.68) ตำรวจไซเบอร์ได้นำหมายจับเข้าจับกุมตัว น.ส.อาทิตยา (สงวนนามสกุล) ซึ่งทำหน้าที่ดูแลด้านการเงิน และเป็นบุตรสาวของ น.ส.เรวดี หรือ เจ๊เล็ก (สงวนนามสกุล) อดีตรองนายกเทศมนตรีจันดี ซึ่งเป็นเจ้าของสถานที่ที่ขบวนการคอลเซนเตอร์ มาใช้เปิดฐานปฏิบัติการและรอรับผลประโยชน์จากการให้เช่าอาคารสถานที่ หลังเจ้าตัวหลบหนีมาพร้อมกับสามีชาวจีน เพื่อขายสินค้าออนไลน์นำเข้าจากประเทศจีน

กรณีนี้ เป็นการขยายผลต่อเนื่องหลังตำรวจไซเบอร์ ได้ร่วมกับ เจ้าหน้าที่กรมสอบสวนคดีพิเศษ เข้าปูพรม ตรวจค้นพื้นที่เป้าหมาย 4 จุด ในพื้นที่ จ.นครศรีธรรมราช เมื่อช่วงกลางปี 2566 เพื่อทลายเครือข่ายคอลเซ็นเตอร์ชาวจีนรายใหญ่ ที่ลักลอบตั้งฐานในพื้นที่หลอกชาวจีน ญี่ปุ่น และไทย ครั้งนั้นสามารถจับกุมผู้ร่วมขบวนการชาวจีนได้ 51 คนชาวไทย 12 คน พร้อมยึดของกลาง เป็นอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์และบัญชีธนาคารหลายรายการ 

เบื้องต้น ตำรวจสืบสวนทราบว่า น.ส.เรวดี เป็นเจ้าของสถานที่ทั้ง 4 จุด ซึ่งกลุ่มขบวนการคอลเซ็นเตอร์ใช้สถานที่เป็นฐานปฏิบัติการ ตำรวจจึงขออำนาจศาลอาญารัชดาออกหมายจับเจ้าตัวและผู้ร่วมขบวนการที่เกี่ยวข้อง ในข้อหา "มีส่วนร่วมในองค์กรอาชญากรรมข้ามชาติ , ฉ้อโกงประชาชน , ร่วมกันฉ้อโกง , ความผิดตาม พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ และร่วมกันเป็นอั้งยี่ซ่องโจร"

ผบช.สอท. เปิดเผยว่า คดีนี้ตำรวจต้องขอศาลในพื้นที่ กทม.ออกหมายจับและหมายค้นกลุ่มผู้ต้องหา เพราะกังวลว่าหากมีการขอศาลท้องที่ อาจจะทำให้กลุ่มผู้ต้องหาไหวตัวทัน เนื่องจาก มีความสัมพันธ์ที่ดีกับคนในพื้นที่ ซึ่งนอกจากความเชื่อมโยงเรื่องการให้เช่าสถานที่แล้ว จากการตรวจสอบเส้นทางการเงินของอดีตรองนายกเทศมนตรีจันดี และลูกสาวพบว่า มีความเชื่อมโยงเกี่ยวข้องกับขบวนการคอลเซ็นเตอร์ โดยพบว่าสามีของ น.ส.เรวดี เป็นหัวหน้าขบวนการคอลเซ็นเตอร์ดังกล่าว

สำหรับคดีนี้ เป็นคดีนอกราชอาณาจักร จึงต้องมีการเชิญอัยการเข้ามาร่วมดำเนินการสอบปากคำ ซึ่งเมื่อช่วงเช้าที่ผ่านมา ได้มีการส่งตัวผู้ต้องหาให้พนักงานอัยการสอบปากคำร่วมกับพนักงานสอบสวนแล้ว การตรวจสอบโทรศัพท์มือถือของผู้ต้องหา พบว่า ได้มีการพูดคุยกับนางเรวดี ผ่านทางแอพพลิเคชัน LINE แต่กลับไม่มีเบอร์โทรศัพท์ติดต่อ เบื้องต้นเจ้าหน้าที่จึงเชื่อว่า น.ส.เรวดี ยังคงหลบหนีอยู่ในประเทศไทย ซึ่งขณะนี้ตำรวจอยู่ระหว่างสืบสวนติดตามจับกุมตัวของ น.ส.เรวดี และผู้ร่วมขบวนการคนอื่นๆที่ยังหลบหนี มาดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป - ข่าวเวิร์คพอยท์รายงาน