"พุธิตา"สส.เชียงใหม่ ปชน. แนะรัฐบาลอยากทวงคืน สส.เชียงใหม่ - ลำพูน ขอให้ใส่ใจปัญหาเรื่องปากท้องประชาช

"พุธิตา"สส.เชียงใหม่ ปชน. แนะรัฐบาลอยากทวงคืน สส.เชียงใหม่ - ลำพูน ขอให้ใส่ใจปัญหาเรื่องปากท้องประชาช

94328 เม.ย. 68 20:22   |     ข่าวเวิร์คพอยท์

"พุธิตา"สส.เชียงใหม่ ปชน. แนะรัฐบาลอยากทวงคืน สส.เชียงใหม่ - ลำพูน ขอให้ใส่ใจปัญหาเรื่องปากท้องประชาชน ไม่ใช่สนใจแค่จะดิสเครดิตพรรคประชาชนเพียงอย่างเดียว

(28เม.ย.68) ที่ รัฐสภา สส.พรรคประชาชน (ปชน.) นำโดย น.ส.พุธิตา ชัยอนันต์ สส.เชียงใหม่ แถลงถึงปัญหาราคาพืชผลทางการเกษตรตกต่ำ ว่า หลังจากที่ตนและเพื่อน สส.ได้ลงพื้นที่พบว่าประชาชนชาวสวนมีความกังวลและลำบากใจว่าปีนี้พืชผลที่ช่วยกันดูแล ที่ออกดอกออกผลมาเป็นจำนวนมาก แต่สุดท้ายจะขายไม่ได้ราคาและจะขาดทุน ซึ่งถือเป็นปัญหาที่จะละเลยไม่ได้ โดยปัจจุบันมะม่วงน้ำดอกไม้ราคาจะต้องอยู่ที่กิโลกรัมละ 50 บาท แต่ปีนี้ราคาน่าจะอยู่ที่กิโลกรัมละ 20 บาท ยังไม่รวมค่าน้ำ ค่าปุ๋ย และค่าดูแล และค่าจ้างในการเก็บผลผลิต ที่ต้องใช้ค่าแรง 300 - 600 บาท ต่อคน ขณะที่ปัญหาเรื่องของราคาลำใย แม้ตอนนี้ยังไม่ออกผลผลิต แต่มีการผลิดอกออกมามากมาย โดยลำใยที่อยู่นอกฤดูจะมีจำนวนมาก แต่ตอนนี้ราคาตกต่ำจนน่าเป็นกังวล 


“ราคาพืชผลการผลิตเป็นเรื่องที่สำคัญไม่แพ้กฎหมายกาสิโน หากรัฐบาลอยากทวงคืนพื้นที่เชียงใหม่ ลำพูน อยากได้ สส.เขตกลับมาก็ขอให้ใส่ใจปัญหาเรื่องปากท้องประชาชน ไม่ใช่สนใจแค่จะดิสเครดิตพรรคประชาชนเพียงอย่างเดียว ขอให้ตั้งใจฟังเสียงประชาชนด้วย ในฐานะที่เป็นพรรครัฐบาลที่มีเครดิตเรื่องการแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจก็ขอให้ทำให้เห็นผล เพื่อทำให้ประชาชนพึ่งพาได้ สุดท้ายแล้วคะแนนเสียงของประชาชนจะเป็นตัวตัดสินเองว่าพรรคการเมืองไหน หรือใครที่เป็นคนใส่ใจปัญหาของประชาชนอย่างแท้จริง“ น.ส.พุธิตากล่าว


ด้านนายวิทวิสิทธิ์ ปันสวนปลูก สส.ลำพูน กล่าวเสริมว่า เวลาลงพื้นที่จะมีประชาชนมาสอบถามเรื่องร่าง พ.ร.บลำไย ตลอด ซึ่งตอนนี้อยู่ในกระบวนการแก้ไขร่าง หลังจากที่สภามีการรับวาระหลักการวาระ 1 มาแล้ว แต่คาดว่าจะออกมาไม่ทันในฤดูเก็บเกี่ยว เพราะต้องผ่านการพิจารณาหลายขั้นตอน และในปีนี้พืชผลผลิตจะออกมากกว่าทุกปี เนื่องจากภาคเหนือมีฤดูหนาวที่ยาวนาน และคาดว่าลำไยจะเพิ่มมากขึ้นประมาณ 1.5 แสนตัน ซึ่งตรงข้ามกับการบริโภคต้องตลาดจีนที่ลดลง


“อยากให้กระทรวงพาณิชย์และกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เข้าไปพูดคุยกับรัฐบาล ซึ่งถือเป็นตลาดหลักของไทย เพราะมีการกีดกันเรื่องการค้าขอผลผลิตลำใย เพราะรัฐบาลจีนมีการตรวจเรื่องสารปนเปื้อนที่อยู่ในลำไยมากขึ้น รัฐบาลจึงต้องมีมาตรการในการป้องกันไม่ให้ผู้ส่งออกลงสารกำมะถันมากเกินไป นอกจากนี้ยังอยากให้ทั้งสองกระทรวงขยายตลาดอื่น เพราะเราจะพึ่งแค่ประเทศจีนไม่ได้ จึงควรไปหาตลาดอื่นเช่น อินเดีย อินโดนีเซีย ฟิลิปปินส์ ที่มีการบริโภคลำไยของไทยอยู่แล้ว


ขณะที่ว่าที่ร.ต.หญิง อรพรรณ จันตาเรือง สส.เชียงใหม่ กล่าวว่า ในสถานการณ์ปัจจุบัน ราคาลำไยทั้งในและนอกฤดูกาล โดยเฉพาะนอกฤดูกาล แต่ก่อนจะอยู่ที่ประมาณ กิโลกรัมละ 30-40 บาท แต่ปัจจุบันราคาอยู่ที่กิโลกรัมละ 19 บาท ซึ่งตอนนี้ประชาชนก็น้ำตาไหลไปตามๆ กัน นอกจากนี้ข้อมูลจากสำนักเศรษฐกิจเกษตรที่1 ของจังหวัดเชียงใหม่ได้รายงานว่าผลผลิตของลำไยในภาคเหนือมีจำนวนมากขึ้นอีก 5% และจากการที่เราลงพื้นที่เกษตรกรฝากบอกรัฐบาลว่าให้หาแนวทางการแก้ไขเรื่องผลิตที่จะเพิ่มขึ้น และดำเนินการหาตลาดอื่นๆ เพราะหากยังไม่มีแผนที่จะรองรับก็อาจจะมีปัญหา


“อยากให้รัฐบาลมีแผนที่จะดำเนินการดังกล่าวก่อนที่ผลผลิตจะออกมา รวมถึงอยากให้รัฐบาลสนใจปัญหาปากท้องประชาชนด้วย ตามที่เคยหาเสียงว่าประชาชน มีเกียรติ มีศักดิ์ศรี มีกินมีใช้ ขอให้ลดเรื่องค่าครองชีพ ไม่ว่าจะเป็นค่าปุ๋ย ค่ายาง และค่าไฟ ประชาชนจะได้ลืมตาอ้าปากได้”ว่าที่ร.ต.หญิง อรพรรณ กล่าว


เมื่อถามว่า ตั้งแต่มีเรื่องกำแพงภาษีมาเห็นได้ชัดเลยหรือไม่ว่าราคาพืชผลตกต่ำ น.ส.พุธิตา กล่าวว่า เรื่องนี้มีหลายปัจจัย ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของฤดูกาล สภาพอากาศ แต่เรื่องกำแพงภาษีเราปฏิเสธไม่ได้ว่าไม่เกี่ยวข้อง เพราะตลาดเดียวของเราคือจีน และคนที่กำหนดราคาคือล๊งจีน ซึ่งถือเป็นบาดแผลของชาวสวนลำไย จึงอยากให้รัฐบาลคิดให้รอบคอบในการที่จะไปเจรจา หรือดำเนินการภารกิจในด้านการต่อรอง หรือนโยบายต่างๆ ในด้านเศรษฐกิจ


ข่าวเวิร์คพอยท์23


TAGS:

ข่าวที่เกี่ยวข้อง