‘ทอม เครือโสภณ’ แฉ ‘เสธ.-บิ๊ก’ โทรล็อบบี้คดีผู้บริหารเอี่ยวเว็บพนัน

‘ทอม เครือโสภณ’ แฉ ‘เสธ.-บิ๊ก’ โทรล็อบบี้คดีผู้บริหารเอี่ยวเว็บพนัน

127112 พ.ค. 68 14:38   |     ข่าวเวิร์คพอยท์

“ทอม เครือโสภณ” ตั้งโต๊ะแถลงพร้อมทนายความ แฉมี “เสธ.-บิ๊ก” โทรล็อบบี้คดีของอดีดผู้บริหารบริษัทเพย์เมนท์ เกตเวย์ ที่มีเอี่ยวกับเว็บพนัน

(12 พ.ค. 68) นายจุลภาส เครือโสภณ หรือ ทอม เครือโสภณ นักธุรกิจชื่อดัง พร้อมด้วยนายวิฑูรย์ เก่งงาน หรือทนายอ๋อง แถลงข่าวเปิดโปงธุรกรรมผิดกฎหมาย หลังตรวจพบความเสี่ยงปกปิดข้อมูล ก่อนเข้าซื้อกิจการ โดยผู้บริหารชุดเก่าปล่อยให้เว็บพนันมาใช้บริการช่องทางการรับชำระเงินทางออนไลน์เป็นจำนวนมาก พบเงินหมุนเวียนกว่า 10,000 ล้านบาท


โดย นายวิฑูรย์ กล่าวว่า บริษัท เซ็นดิท เทค จำกัด เป็นบริษัทจากทางอินโดนีเซียและอเมริกา เข้ามาลงทุนในไทย โดยมีการซื้อบริษัทแห่งหนึ่ง เนื่องจากหากเป็นบริษัทแม่จากต่างประเทศจะไม่มี license เป็นของตัวเอง การซื้อบริษัทจากไทยจึงง่ายกว่า โดยลงทุนซื้อบริษัทดังกล่าวในกลางปี 2565 ผู้บริหารของ บริษัท เซ็นดิท เทค จำกัด เข้ามาบริหารปลายปี 2566 และมีการเปลี่ยนชื่อเป็นบริษัท เซ็นดิท เทค จำกัด ในเดือนกุมภาพันธ์ปี 2567 โดยบริษัทเรามีลักษณะเป็นบริษัทตัวกลางรับชำระเงิน ทำธุรกรรมในระบบอิเล็กทรอนิกส์ หรือระบบ Payment Gateway


จากนั้นปลายปี 2566 มีผู้บริหารชุดใหม่ ตรวจพบธุรกรรมที่น่าสงสัยของลูกค้า 20 อันดับแรก จึงทำการตรวจสอบเชิงลึก โดยตรวจสอบเป็นลิ้งค์ URL จึงพบว่าเป็นธุรกิจเว็บพนันออนไลน์ ที่เจอ URL กว่า 100 ร้านค้า พบเงินหมุนเวียนปีละกว่า 10,000 ล้านบาท ซึ่งเป็นเว็บพนันจากในประเทศไทยทั้งหมด เช่นเว็บ 123 vega3.com เป็นต้น จึงได้ทำการไล่ 2 ผู้บริหารชุดเก่าออก


จากนั้นผู้บริหารชุดเก่าจึงได้ไปฟ้องศาลแรงงานกับบริษัทในข้อหา ผิดสัญญาจ้างและเลิกจ้างไม่เป็นธรรม จึงได้มีการต่อสู้คดีกัน โดยทางบริษัทส่งหลักฐานทางธุรกรรมที่ชี้ให้เห็นว่ามีการทำธุรกรรมที่ผิดกฎหมาย ซึ่งศาลพิพากษาว่า 2 ผู้บริษัทเก่าทำผิดกฏหมายจริง และทำให้บริษัทเสียหาย แต่ศาลให้จ่ายโบนัสตามสัญญาจ้าง 300 ล้านบาท เนื่องจากสัญญาจ้างไม่มีการระบุว่า จะไม่จ่ายเงินให้กับการทำธุรกรรมที่ผิดกฎหมาย แม้ในกฎหมายแพ่งและพานิชจะระบุไว้ว่าผิดก็ตาม ทางบริษัทจึงใช้สิทธิ์ยื่นอุทธรณ์ 


นายวิฑูรย์ กล่าวต่อว่า ผลกระทบที่เกิดขึ้นกับทางบริษัท มี 2 มุม มุมแรกบริษัทขาดความน่าเชื่อถือ และจะถูก สำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน หรือ ปปง. ตรวจสอบธุรกรรมทางการเงินของบริษัทในวันอังคาร-ศุกร์ที่จะถึงนี้ เพราะไม่ใช่แค่เว็บพนันออนไลน์แต่มีการกู้ยืมเงินออนไลน์ด้วย อย่างไรก็ตามทางบริษัทยินดีให้มาดำเนินการตรวจสอบ


นายวิฑูรย์ ยังบอกอีกว่า สิ่งที่น่าตกใจกับบริษัทคือกรมบังคับคดีมีการอายัดเงินของลูกค้าบริษัท ตั้งแต่วันที่ 30 เมษายน 2568 มูลค่า 8 ล้านเหรียญ หรือประมาณ 200-300 ล้านบาท จึงมีข้อสงสัยว่ามีหมายศาล และออกคำสั่งอายัดในวันเดียวกัน และยังออกหมายการอายัดเงินไปยังธนาคารภายในวันเดียวกัน และส่งหมายผ่านทางไปรษณีย์มาที่บริษัทวันที่ 1 พฤษภาคม จึงตั้งข้อสังเกตว่าทนายส่วนใหญ่ไม่เคยเจอสถานการณ์นี้มาก่อน ที่กระบวนการการออกหมายและอายัดเกิดขึ้นอย่างรวดเร็วภายในวันเดียว 



นายวิฑูรย์ บอกว่า หลังจากนี้ทางบริษัท จะรวบรวมข้อมูลทั้งหมดส่งมอบให้กับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง โดยจะไปยื่นให้กับตำรวจไซเบอร์ และ กองบังคับการปราบปรามการกระทำผิดเกี่ยวกับอาชญากรรมทางเทคโนโลยี หรือ บก.ปอท. ในส่วนที่เกี่ยวข้องกับเว็บพนัน, ส่วนที่เกี่ยวข้องกับการฟอกเงินจะไปยื่นหลักฐานให้กับปปง. และประสานงาน เพื่อที่จะนำข้อมูลส่งไปให้ที่กรมสอบสวนคดีพิเศษ หรือดีเอสไอ ในการตรวจสอบ เนื่องจากการทำธุรกรรมที่เกิดขึ้นเป็นการทำธุรกรรมที่ใหญ่ในประเทศไทย พร้อมยืนยันว่าทางบริษัทจะให้ความร่วมมือในการตรวจสอบทลายเครือข่ายเว็บพนันอย่างเต็มที่ พร้อมเน้นว่าเรื่องนี้ทำงานกันอย่างสนุกแน่นอน โดยหลังจากนี้จะไปยื่นหนังสือขอความเป็นธรรมกับทางกรมบังคับคดีอีกด้วย


ขณะที่ นายทอม เครือโสภณ มองว่า ศาลเมืองไทยตัดสินให้คนผิดได้รับเงิน 300 ล้านบาทจากนักลงทุน แล้วใครจะกล้ามาลงทุนในไทย ในเมื่อรัฐบาลไทยต้องการให้ต่างชาติเข้ามาลงทุน แต่ต่างชาติมาลงทุนแล้วถูกกลั่นแกล้งก็ต้องยอมจ่ายเพราะกลัว ระบบยุติธรรมของประเทศไทยยังบอกว่าคนทำผิดยังได้รับผลประโยชน์อยู่ดี เราอยากทำธุรกิจที่โปร่งใสแต่ระบบบังคับให้เราเป็นเทา 


นายทอม เครือโสภณ มองว่า ในระหว่างการสู้คดีมีผู้ใหญ่ที่มีชื่อเสียงระดับประเทศ และเสธท่านหนึ่ง รวมแล้วมากกว่า 10 คน โทรมาหาตน เพื่อขอให้ยุติเรื่องและจ่าย 300 ล้านบาท ให้กับ 2 ผู้บริหารชุดเก่าที่กระทำความผิด และกล่าวหาว่าตนเองทำไมถึงไปช่วยชาวต่างชาติ ตนเองจึงขอบอกเสธที่โทรมาว่า “ผมไม่เล่นเกมนี้”


นายทอมบอกอีกว่าทุกคนที่โทรมาหาตนนั้นมีบารมีสามารถที่จะควบคุมศาลในเมืองไทยได้ เขาคงไม่ให้คนกระจอกโทรมาหาพี่ และยังมีการใช้บารมีมืดมาข่มขู่ แต่สิ่งที่ตนเองยอมไม่ได้นั้น เนื่องจากมีการกลั่นแกล้งลูกค้าของตนเอง โดยการส่งหมายอายัดบัญชีมา ทั้งๆที่รู้ว่าเรากำลังอุทธรณ์ จึงเป็นเหมือนการกลั่นแกล้งนักลงทุนที่จะมาลงทุนในประเทศไทย นอกจากนี้ในเรื่องของความสัมพันธ์ของ 2 ผู้บริหารชุดเก่ากับเสธ ตนเองไม่ทราบว่าเป็นอะไรกัน แต่ในช่วงเวลานั้นใครที่น่าจะเจรจากับตนเองได้ก็น่าจะให้คนระดับเดียวกันมาเจรจา


“คุณมีผู้ใหญ่ผมก็มีผู้ใหญ่ คุณมีเสธผมมีนายพล ทุกคนที่โทรมาล็อบบี้ บอกผมว่าเดี๋ยวมีของขวัญให้คุณทอม โชคดีเมียพี่รวย ล็อบบี้คนผิดแล้ว“ นายทอม เครือโสภณ กล่าว 


อย่างไรก็ตามบริษัทได้ตัดสินใจ ว่าบริษัทจะจ่ายเงินให้กับลูกค้าแทนเองจำนวนกว่า 10,000 ราย ทั้งนี้จะต้องควักเงินตัวเองเพื่อประเทศชาติ เพราะบริษัทต้องการเป็นบริษัทที่โปร่งใส มองว่าการทำแบบนี้ทำให้ประเทศชาติเสียผลประโยชน์ ทั้งนี้ตนเองในฐานะผู้บริหารของบริษัท อยากจะเรียกร้องให้เจ้าหน้าที่ตำรวจ มีความเข้มงวดและปราบปรามบริษัท Payment Gateway ของรายอื่นที่รับโอนเงินจาก เว็บพนันอย่างจริงจัง เพราะเชื่อว่าเงินหมุนเวียนหลักหมื่นล้านที่เป็นเงินจากเว็บพนัน จะหมุนเวียนไปใช้บริษัท Payment Gateway ของบริษัทอื่นแน่นอน


“การแถลงข่าวในวันนี้ หวังจะให้ประชาชนและศาลไม่อำนวยให้สิ่งเลวร้ายเกิดขึ้นในประเทศไทย ถ้าไม่ยุติ คนที่อำนวยสิ่งเลวร้ายให้เกิดขึ้นในประเทศไทย ก็จะเลวร้ายไปตลอด ถ้าพวกคุณยังใช้อำนาจ และยังใช้เงิน พร้อมอำนวยให้สิ่งเลวร้าย ก็จะแก้ไขปัญหาไม่ได้ แล้วใครจะกล้ามาลงทุน ถ้าคนทำผิดยังมีคนป้องกันอยู่ โดยการออกมาเปิดข้อมูลแม้จะทำให้รายได้เราหายไปกว่าหมื่นล้าน แต่ก็ยินดีที่จะให้ธุรกิจนี้เกิดความขาวสะอาด”


ส่วนกรณีที่ 2 ผู้บริหารชุดเก่าจะอ้างว่าไม่ทราบมาก่อนว่ามีลูกค้าเป็นเว็บพนันออนไลน์ เรื่องนี้นายยศกร เหล่าโชติธนกุล ทีมทนายความ ระบุว่า เป็นไปไม่ได้ เนื่องจากเป็นผู้บริหาร ก็ต้องรู้ฐานลูกค้าอยู่เเล้ว และก่อนหน้านี้ธนาคารแห่งประเทศไทยได้ทำหนังสือเตือนถึงผู้บริหารชุดเก่าให้ปรับเปลี่ยนการบริหาร และปรับเปลี่ยนการดำเนินการหลายอย่าง เพราะเป็นไปตามกฎระเบียบ ซึ่งชี้ให้เห็นว่าผู้บริหารชุดเก่ามีความหละหลวมในการบริหารงาน


TAGS:

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

Thailand Web Stat