ครอบครัว "ติ๊ก ชิโร่" ยันที่ผ่านมา ช่วยเหลือเยียวยามาตลอด ย้ำ 24 ล้าน เป็นวงเงินที่สูงไป ตอนนี้ครอบครัวพร้อมชดใช้ 2 ชีวิต 4-5 ล้านบาท

ครอบครัว "ติ๊ก ชิโร่" ยันที่ผ่านมา ช่วยเหลือเยียวยามาตลอด ย้ำ 24 ล้าน เป็นวงเงินที่สูงไป ตอนนี้ครอบครัวพร้อมชดใช้ 2 ชีวิต 4-5 ล้านบาท

174323 ม.ค. 68 14:35   |     ข่าวเวิร์คพอยท์

ครอบครัว "ติ๊ก ชิโร่" ยันที่ผ่านมา ช่วยเหลือเยียวยามาตลอด ย้ำ 24 ล้าน เป็นวงเงินที่สูงไป ตอนนี้ครอบครัวพร้อมชดใช้ 2 ชีวิต 4-5 ล้านบาท ส่วน ติ๊ก ชิโร่ ระบุไม่ขอให้สังคมให้อภัยตัวเอง

(23 ม.ค.68) จากกรณีที่ นายมนัสวิน นันทเสน หรือ “ติ๊ก ชิโร่” ศิลปินนักร้องชื่อดัง ได้เมาแล้วขับรถชนมีผู้บาดเจ็บและเสียชีวิตไปเมื่อช่วงปลายปี 2567 ที่ผ่านมา ล่าสุดผู้บาดเจ็บในเหตุการณ์ดังกล่าวเสียชีวิตเพิ่มอีก 1 ราย จนทำให้ปัจจุบันมีผู้เสียชีวิตถึง 2 ราย คือ นางสาวเทียนพร หรือ เมจิ อายุ 28 ปี เสียชีวิตในที่เกิดเหตุ และนายจักรภัคร หรือจูเนียร์ อายุ 21 ปี นักศึกษาชั้นปี 2 ที่เสียชีวิตในวันที่ 18 มกราคมที่ผ่านมา


“ติ๊ก ชิโร่”ออกมาเปิดใจกับสื่อมวลชนถึงกรณีดังกล่าวว่า การแถลงข่าวครั้งนี้เป็นการพูดคุยเพื่อชี้แจงความเป็นจริงไม่ใช่เป็นการแก้ต่าง หรือแก้ตัว ครั้งนั้นเป็นอุบัติเหตุที่ไม่มีใครที่อยากจะให้เกิดขึ้น ทั้ง 2 ครอบครัวรู้สึกสูญเสียทั้งร่างกาย และจิตใจ ถ้าตนเลือกได้คงไม่อยากให้เรื่องนี้เกิดขึ้นมา มันเป็นสิ่งที่ไม่สามารถที่จะต้านทานได้ แต่เมื่อมันเกิดขึ้นมาแล้วเราต้องยอมรับความเป็นจริง และหาทางในการแก้ไขเยียวยา และหาหนทางที่จะให้สองครอบครัวดำรงชีวิตต่อไปได้ และก้าวเดินต่อไป


“เป็นการสูญเสียอย่างมากในช่วงชีวิตนี้ แต่ในวิกฤตก็จะมีบางสิ่งบางอย่างที่สวยงามเสมอ ก็เหมือนกับดอกไม้ที่เกิดขึ้นท่ามกลางซากปรักหักพัง ของทั้งจิตใจ มีหลายครั้งที่ไม่สามารถที่จะทนได้ แต่บางครั้งก็เหมือนน้ำฝนชโลมจิตใจ จึงขอขอบคุณพ่อแม่ผู้เสียชีวิต ที่ 2 ครอบครัวพยายามเอาใจใส่ซึ่งกัน และหาแนวทางออก พร้อมเห็นอกเห็นใจกัน”


ข่าวที่เกี่ยวข้อง

พ่อน้องจูเนียร์ เหยื่อ "ติ๊ก ชิโร่" เมาแล้วขับ ร้องสายไหมต้องรอด หลังไม่ได้รับเงินเยียวยา-เสนอจะขายที่ดินมาจ่ายแต่เงียบ

"ติ๊ก ชิโร่" เข้ากราบศพ "น้องจูเนียร์" ยังอุบเรื่องการเยียวยา


เมื่อวานนี้ตนได้เจอน.ส.จิณห์นิภา อายุ 24 ปี (ลูกสาวคนกลางที่รอดชีวิต) ในงานศพของน้องจูเนียร์ ตนได้เดินเข้าไปและจับมือพร้อมบอกกับน้องว่าให้เข้มแข็ง เราจะอยู่เคียงข้างกันเสมอ ก่อนที่จะรีบปล่อยมือออก เพราะตนจะไม่สามารถกลั้นน้ำตาซึ่งหลายคนอาจจะเห็นว่าตนมีท่าทีที่เข้มแข็งแต่จิตใจของตนนั้นแตกสลาย


ในส่วนของเรื่องการเยียวยานั้นตนจะมีการพูดคุยกับครอบครัวผู้เสียชีวิตและจะมีการแต่งเพลงให้กับผู้เสียชีวิตจากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ซึ่งหากปล่อยเพลงออกไปแล้วมีรายได้เข้ามาก็จะนำเงินทั้งหมดนั้นมอบให้กับทางครอบครัวเพื่อเป็นการเยียวยาอีกทาง 


ด้านนางสาวเอ๋ น้องสาวภรรยา “ติ๊ก ชิโร่” เปิดเผยว่า หลังจากเกิดเหตุขึ้น ทางพี่ติ๊กได้ให้ข้อมูลกับตำรวจไปเป็นที่เรียบร้อยแล้วว่าเหตุการณ์เป็นอย่างไรบ้าง และไม่เคยกลับคำให้การสักครั้ง พร้อมกับนำหลักฐานกล้องหน้ารถส่งให้กับเจ้าหน้าที่ตำรวจ และที่มีการยื่นหนังสือรับรองขอความเป็นธรรมไปตามที่เป็นข่าว เป็นเพียงการขอให้สอบพยานเพิ่มเติมที่อยู่ในที่เกิดเหตุ เพื่อเข้าสู่กระบวนการดำเนินคดี 


และในส่วนการเจรจาความเสียหาย ที่คุณพ่อของผู้เสียชีวิตออกมาบอกว่าพี่ติ๊กไม่เคยไปเจรจานั้น ในวันแรกที่เกิดเหตุตัวพี่ติ๊กเข้าโรงพยาบาลเพื่อตรวจร่างกาย ตนจึงเป็นคนประสานงานให้ตั้งแต่วันแรก และทราบว่าในวันเกิดเหตุมีผู้เสียชีวิตหนึ่งคนคือน้องเมจิ ทางครอบครัวตนจึงจ่ายให้ไป 100,000 บาท และเมื่อพี่ติ๊กออกจากโรงพยาบาลได้ ก็ไปงานรดน้ำศพและสวดอภิธรรมงานศพของน้องเมจิทุกวัน เมื่องานเสร็จสิ้นทางเราก็รับผิดชอบค่าใช้จ่ายในการทำพิธีศพให้กับตัวคุณพ่อผู้เสียชีวิตไปอีก 75,530 บาท 



หลังจากนั้นทางฝั่งพี่ติ๊กและครอบครัวผู้เสียชีวิตก็มีการนัดเจรจากันครั้งแรกที่ร้านกาแฟแห่งหนึ่งในวันที่ 22 ตุลาคม 2567 โดยมีผู้ใหญ่ร่วมรับฟังด้วย ซึ่งวันดังกล่าวก็ยังหาข้อสรุปไม่ได้ เนื่องจากน้องจูเนียร์ยังอยู่ในห้องไอซียู จึงไม่สามารถรับรู้ได้ว่าค่าใช้จ่ายจะอยู่ที่ประมาณเท่าไหร่ โดยหลังจากนั้นพี่ติ๊กและคุณพ่อของผู้เสียชีวิตก็มีการแลกช่องทางติดต่อกัน และมีการติดต่อกันอยู่ตลอด โดยต่อมาทางฝั่งพี่ติ๊กก็มีการนัดเจรจากับครอบครัวผู้เสียชีวิตอีกครั้งที่บ้านของพี่ติ๊ก ซึ่งวันนั้นทางครอบครัวผู้เสียชีวิตมีการเสนอขอค่าเยียวยา 9 ล้านบาท แต่ในวันดังกล่าวยังมีการพูดไม่ชัดเจนว่า 9 ล้านคือแค่น้องเมจิคนเดียวหรือไม่ โดยตนมาทราบภายหลังว่า 9 ล้านบาท คือค่าเยียวยาของน้องเมจิคนเดียว ซึ่งหลังจากนั้นทางพี่ติ๊กก็มีการไปเยี่ยมน้องและซื้อของที่จำเป็นและมีการถามไถ่อาการอยู่ตลอด


ต่อมาก็มีการนัดหมายอีกครั้งที่สน.คันนายาว ในวันที่ 29 ตุลาคม 2567 ตนจึงเข้าไปเจรจาแทนพี่ติ๊ก โดยระหว่างพูดคุยกันก็มีการประสานกับประกันภัย ซึ่งในวันนั้นประกันยินยอมจ่ายให้จำนวน 500,000 บาท ซึ่งทางประกันภัยแจ้งว่าวงเงินที่จะจ่ายเยียวยา สำหรับคนเจ็บและผู้เสียชีวิตนั้นสูงสุดคนละ 1 ล้านบาท แต่หากทางติ๊กเป็นฝ่ายผิด ก็จะจ่ายเพิ่มอีกคนละ 500,000 บาท ทำให้ญาติเข้าใจผิดว่า ทางเราจะเยียวยาเพียงแค่ 3 ล้านบาท ทางญาติของผู้เสียชีวิตจึงเดินมาบอกว่าหากขับรถชนลูกสาวของติ๊กบ้าง แล้ววางเงินให้ 3 ล้านบาทได้หรือไม่ ตนรู้สึกว่าคำพูดนี้แทงใจ และคิดว่าการเจรจาไม่ควรพูดกันแบบนี้


ซึ่งระหว่างนั้นที่น้องจูเนียร์ได้ทำการรักษาพยาบาล ทางคุณพ่อของน้องก็ได้มีการติดต่อมาทางพี่ติ๊กให้ช่วยรับผิดชอบค่าใช้จ่ายในส่วนนี้ พี่ติ๊กยินยอมจ่ายไปตลอดสามเดือนที่เกิดขึ้น โดยจ่ายไป 420,000 บาท ซึ่งหากรวมกับเงินที่ประกันภัยจ่ายไปแล้ว 500,000 บาท ก็จะอยู่ที่ 920,000 บาท ในส่วนนี้จะมองว่าเป็นเงินเยียวยาหรือไม่ก็สุดแล้วแต่จะพิจารณา นอกจากนี้ในส่วนของพรบ. รถยนต์ ได้แจ้งว่าจะไม่สามารถจ่ายเงินให้ก่อนได้ เนื่องจากคดียังไม่สิ้นสุด


หลังจากนั้นตนจึงมีการปรึกษาหารือกันภายในครอบครัว และคิดว่าจะนำทรัพย์สินที่ดินในจ.นครราชสีมา 1 แปลงออกมาขาย โดยราคาที่ดินขณะนี้ยังไม่สามารถประเมินได้เพราะโฉนดอยู่ในตู้เซฟ โดยทางพี่สาวหรือภรรยาของพี่ติ๊กเป็นผู้เก็บไว้ แต่พี่สาวอยู่ต่างประเทศ แต่คาดว่าราคาจะอยู่ที่ 4-5 ล้านบาท โดยจะนำมาขายหากขายไม่ได้ก็จะนำมาโอนให้ครอบครัวผู้เสียชีวิตโดยค่าใช้จ่ายทั้งหมดฝั่งพี่ติ๊กจะเป็นผู้ออก


กระทั่งวันที่ 13 มกราคมที่ผ่านมา ที่เป็นการเจรจากันครั้งสุดท้ายในชั้นของสถานีตำรวจ โดยมีผู้กำกับมานั่งร่วมเจรจาด้วย ในวันดังกล่าวทางฝั่งครอบครัวผู้เสียชีวิต ได้เสนอตัวเลขค่าเยียวยาของน้องจูเนียร์ 18 ล้านบาท และของน้องเมจิ 6 ล้านบาท รวมเป็น 24 ล้านบาท ซึ่งตัวเลขดังกล่าวมองว่ายังไม่สามารถที่จะให้ได้ เนื่องจากยอดเงินสูงหาให้ไม่ทัน จะต้องมีการปรึกษากับทางครอบครัวก่อน และการเจรจานี้ยังไม่ถึงสิ้นสุด แต่ยืนยันว่าขณะนี้ทางครอบครัวของพี่ติ๊กสามารถเยียวยาทั้ง 2 ชีวิตได้ในวงเงิน 4-5 ล้านบาท ซึ่งในอนาคตยังไม่สามารถตอบได้ว่าจะเยียวยาได้สูงสุดเท่าไร