จ่าทหาร สุดช้ำ ถูกพยาบาลสาว หลอกคบซ้อน ลวงลงทุนสูญเงินกว่า 6 แสน

จ่าทหาร สุดช้ำ ถูกพยาบาลสาว หลอกคบซ้อน ลวงลงทุนสูญเงินกว่า 6 แสน

47825 พ.ย. 67 16:27   |     ข่าวเวิร์คพอยท์

จ่าทหาร สุดช้ำ ถูกพยาบาลสาว หลอกคบซ้อน ลวงลงทุนสูญเงินกว่า 6 แสน ล่าสุดชายปริศนาโทรหาจ่า แต่พยาบาลสาวบอกจ่าอย่าไปเชื่อ! มันเป็นแก๊งคอลเซนเตอร์

(25 พ.ย.67) ที่ ศูนย์รับร้องเรียนสายไหมต้องรอด เขตสายไหม กรุงเทพ นายวิชาญศิทย์ จ่าทหาร อายุ 50 ปี ผู้ร้องต่อ นายเอกภพ เหลืองประเสริฐ ผู้ก่อตั้งเพจสายไหมต้องรอด หลังถูกพยาบาลสาว หลอกคบซ้อน ลวงลงทุนสูญเงินกว่า 6 แสน ล่าสุด มีชายปริศนาโทรหาจ่า อ้างเป็นผัวอีกคน แต่ฝ่ายหญิงปฏิเสธเสียงแข็ง บอกอย่าไปเชื่อ!! เป็นแก๊งคอลเซนเตอร์


โดยนายเอกภพ เปิดเผยว่า จ่าทหารช้ำรัก เจอพยาบาลสาว อายุ 41 ปี นึกว่าจะเจอรักแท้ได้พูดคุยและคบหากัน ก่อนจะชวนร่วมลงทุน จนไปกู้เงินมาทำธุรกิจต่าง ๆ คบกันได้ประมาณหกเดือนหมดเงินไปกว่า 600,000-700,000 บาท 


กระทั่งวันหนึ่งมีผู้ชายอีกคนหนึ่งของพยาบาลรายดังกล่าวที่คบซ้อนได้โทรหาผู้เสียหาย เมื่อพยาบาลทราบได้มาอ้างว่าผู้ชายที่โทรหาผู้เสียหายเป็นแก๊งคอลเซ็นเตอร์ 


นายวิชาญศิทย์ อายุ 50 ปี ผู้เสียหาย เล่าว่า ตนเองได้คบกับพยาบาลสาวรายนี้หลังจากเจอในแอปหาคู่ คุยกันได้ประมาณสองสัปดาห์ พยาบาลสาวได้เริ่มชักชวนทำธุรกรรม ชวนบริจาคเงินให้เด็กทุรกันดาร และร่วมลงทุนทำธุรกิจ ขณะนั้นมีการคืนเงินบ้าง คืนเป็นก้อน ๆ ตัวเองก็รู้สึกเชื่อใจตามปกติ และเชื่อว่าพยาบาลสาวมีวิชาชีพและมีคลินิก 


แต่หลังจากนั้นได้ มีการกล่าวอ้างเรื่อย ๆ เพื่อหลอกให้ตัวเองโอนเงิน ทีแรกก็ขอยืมทีละน้อยๆ หลักพันบาท จนลามไปหลักหมื่นบาท จนไปถึงการจำนำรถ และการจำนองที่ดินแบ่งเป็นหลาย ๆ เรื่อง ดังนี้


อ้างว่าพ่อป่วยเป็นมะเร็ง ต้องให้คีโม มีค่าใช้จ่ายสูง ขอยืมเงินโดยให้ตนเองกดออกจากบัตรให้ หลักพันถึงหลักหมื่นบาท อ้างว่าพ่อป่วยเป็นโรคหัวใจ ขอยืมเงินอ้างว่าต้องเอาหมอมาจากกรุงเทพฯ 


อ้างว่าเรียนจบปริญญาโท และต้องชำระค่าจบการศึกษา 25,000 บาท ของยืมเงินในบัตรก่อนแล้วจะกดคืนให้ แต่เงียบไป อ้างว่า มียาและอุปกรณ์ทางการแพทย์มาส่งที่คลินิก ขอยืมอีก ต่อมา อ้างว่า บัญชีโดนล็อก ซึ่งมีเงินฝากประจำอยู่กว่า 400,000 บาท ขอยืมทองไปจำนำ โดยจำนำไปสองครั้งในเดือนเดียวกัน ซึ่งครั้งที่สองอ้างว่า ให้พ่อผ่าตัดหัวใจอีก 25,000 บาท แล้วเดี๋ยวจะให้น้องคืนให้ แต่ถึงเวลาก็ไม่ได้คืน

  

ให้นำรถจักรยานยนต์ไปจำนำ เพื่อนำเงินมาหมุน และเสนอว่าให้เอารถจักรยานยนต์ออกมา และนำรถยนต์ไปจำนำแทน โดยพยาบาลสาวอ้างว่าตัวเองป่วยเป็นมะเร็งปากมดลูก ต้องไปรักษาที่โรงพยาบาลเอกชนในจังหวัดนครปฐม และพูดจาน้ำไหลไฟดับให้เชื่อให้หลง จึงนำรถยนต์ไปจำนำราคา 50,000 บาท แต่พยาบาลสาวไม่ให้ไปด้วย อ้างว่าจะไปกับน้องเอง แต่พอถึงเวลาก็อ้างว่า เอาเงินไปหมุนก่อนตรวจพบเชื้อเอชพีวี ต้องนำเงินรักษา ต้องนำเงินรักษาที่เอกชนที่ รพ.เอกชน

  

ต่อมาอ้างว่าพ่อเส้นเลือดหัวใจตีบ ต้องเอาของที่จำนำไว้มารักษาพ่อ อ้างว่าเดี๋ยวให้น้องมาคืนตอนเย็น แต่ก็นำเงินไปหมุนก่อน ให้เอาที่ดินไปจำนอง 3 ครั้ง ราคา 40,000 บาท แต่ไม่ให้ใครรู้ อ้างว่าเงินจะได้ปลดล็อกเดือนหน้าจะได้เงิน ช่วงสิงหาคม-กันยายน แต่ก็ไม่ได้เอาออก 

  

วันต่อมาอ้างว่าจะนำเงินมาคืนให้จำนวน 36,000 บาท แต่พอถึงวันนัดหมายก็อ้างว่าวางกระเป๋าเงินทิ้งไว้ที่ร้านก๋วยเตี๋ยว จนเงินหาย ตัวเองก็เริ่มเอะใจ แต่ก็ยังไม่ได้ทักท้วงอะไร


ต่อมา ขอยืมเงิน 12,000 บาท อ้างว่า ต้องจ่ายเงินค่าประกันชีวิต 17,000 บาท แต่มีอยู่เพียง 5,000 บาท จึงมาขอยืมเพิ่ม


อ้างว่าต้องลงทะเบียนจ่ายเงินค่าอบรมวิชาชีพพยาบาล ต้องจ่ายไปก่อนแล้วได้คืนทีหลังขอยืมเงินจ่ายค่าแชร์แบบกระชั้นชิด ขอยืมค่าจ่ายภาษีเพิ่ม อ้างว่าหากไม่จ่ายภาษีทางธนาคารจะไม่ปลดล็อกเงินให้


อ้างว่าทางอำเภอบังคับให้สแกนจ่ายเงินสามงวด โดยถ่ายรูปบริเวณหน้าอำเภอมายืนยัน 2 กันยายน อ้างว่ามีข้อความจากธนาคารว่าจะปลดล็อกเงินให้ ให้ไปหากู้เงิน15 กันยายน จะได้ค่าแชร์ 86,000 บาท แต่เงินค่าแชร์โอนเข้าบัญชีที่ถูกล็อก

  

อ้างว่าเงินค่ารักษาพ่อไม่พอให้ไปกู้เงินนอกระบบมาเพิ่ม แต่ให้ตนเองรับผิดชอบเอง คือช่วงเดือนตุลาคม พยาบาลสาวได้โทรกลับมา พร้อมกับให้โอนมา 14,000 บาท อ้างว่าจะปลดล็อกบัญชี แต่ตัวเองไม่มีเงินแล้ว จึงเริ่มไปกู้เงินในแอปพลิเคชั่นเพื่อจ่าย ค่าใช้จ่ายต่างๆ ให้ ซึ่งมีการกู้เงินไป 100,000 กว่าบาท แต่พอถึงเวลาจ่ายดอกพยาบาลสาวไม่ช่วยจ่าย 


โดยสรุปคือส่วนใหญ่แล้วมักจะอ้างว่าพ่อป่วย แต่เมื่อตัวเองเห็นพ่อของพยาบาลสาวก็พบว่าเดินเหินได้ตามปกติ ตนเองเคยสงสัยและสอบถามกับพยาบาลสาวว่าเหตุใดต้องใช้เงินเยอะขนาดนี้ ก็ถูกต่อว่าว่าทำไมต้องสงสัยนักหนา หรือหากไม่ได้เงินจากตนเอง พยาบาลสาวก็จะขู่อ้างว่าหลังเงินปลดล็อกแล้ว 400,000 บาท จะคืนเงินให้และจะเลิกกัน แล้วจะหายไปสองวัน 


นาย วิชาญศิทย์ ยอมรับว่า ที่ผ่านมาลูกเคยเตือนแล้ว แต่ตนเองเห็นว่าพยาบาลสาวเคยรักษาแม่ตนเอง และมีโปรไฟล์ดี เคยนำยามาฉีดให้แม่ เคยหอบน้ำเกลือมารักษาลูก จึงหลงเชื่อ จนกระทั่งต่อมาความแตกเมื่อมีผู้ชายคนหนึ่งโทรมาหาตนเองขณะกำลังไปทำงาน และตนเองได้บันทึกเสียงเอาไว้เพื่อเป็นหลักฐาน 


โดยผู้ชายรายดังกล่าวโทรมาสอบถามว่าตัวเองใช่ทนายจริงหรือไม่ ตนเองก็งง และทราบว่าฝ่ายหญิงไปอ้างกับ ผู้ชายคนนั้น ว่า ตนเองเป็นทนายช่วยเรื่องปัญหาฉ้อโกง มีปัญหาต้องไปขึ้นศาลกันแต่ไม่ต้องมาเพราะยกเลิกแล้ว ตนเองจึงบอกกับผู้ชายคนนั้นไปว่าตัวเองคบกับพยาบาลสาว จึงมีการสอบถามกันว่าครบตั้งแต่เมื่อไหร่ ก็บอกว่าคบตั้งแต่เดือนเมษายน ซึ่งก็เป็นช่วงเดียวกันที่ฝ่ายหญิงคบซ้อน


ทั้งนี้ หากพยาบาลสาวดูอยู่ อยากให้มาใช้หนี้ที่ทำไว้และให้เอาที่ดินมาคืน ครอบครัวตนเองลำบากมาก เงินก็ไม่เหลือแล้ว ต้องยืมคนอื่นมาใช้บ้าง เงินคนแก่ที่แม่ได้ก็เอามาใช้ 


นอกจากนี้ผู้เสียหายยังเล่าอีกว่า ตัวเองเคยไปติดต่อทางโรงพยาบาลแห่งหนึ่งที่ฝ่ายหญิงสังกัด ให้ออกมาพูดคุยกันฝ่ายหญิงอ้างว่า วันที่ 7 พย.67 จะคืนเงินให้ 100,000 บาท และจนถึงวันที่ 15 พย.67 จะเคลียร์ให้ทั้งหมดตามยอดหนี้ที่จดเอาไว้ พอถึงวันที่ 15 อ้างว่าสหกรณ์ไม่อนุมัติ เพราะเงินยอดเยอะเกินไป 


อย่างไรก็ตาม นายเอกภพระบุว่า ในส่วนของคดีนั้น จะให้ฝ่ายกฎหมายดูแลเรื่องคดีต่อในส่วนเงินหรือที่ดินที่นำไปจำนองหรือให้ฝากพยาบาลสาวที่ดูอยู่ หนี้สินที่กระทบกับครอบครัวให้นำมาคืนก่อน รวมถึงเงินนอกระบบ ให้ทยอยมาคืน หลังจากนี้ ทางผู้เสียหายก็จะนำไปแจ้งความก็จะเกิดเป็นคดีความอีก

TAGS:

ข่าวที่เกี่ยวข้อง