แม่ผู้ต้องขังร้อง DSI ลูกถูกผู้คุมทำร้าย หวั่นซ้ำรอยผู้กำกับโจ้

แม่ผู้ต้องขังร้อง DSI ลูกถูกผู้คุมทำร้าย หวั่นซ้ำรอยผู้กำกับโจ้

27912 มี.ค. 68 11:49   |     ข่าวเวิร์คพอยท์

มูลนิธิรณรงค์ทวงคืนความยุติธรรมในสังคมพาแม่ของผู้ต้องขังรายหนึ่ง ร้องกรมสอบสวนคดีพิเศษ หลังลูกชายถูกผู้คุมทำร้ายร่างกายภายในเรือนจำ หวั่นซ้ำรอยผู้กำกับโจ้

(12 มี.ค. 68) ที่ กรมสอบสวนคดีพิเศษ (DSI) นายรณรงค์ แก้วเพชร ประธานเครือข่ายรณรงค์ทวงคืนความยุติธรรมในสังคม พร้อมด้วยแม่ผู้ต้องขังเรือนจำเขาบินและญาติผู้ต้องขัง เดินทางมาที่กรมสอบสวนคดีพิเศษ หรือ ดีเอสไอ เพื่อร้องเรียนผู้คุมเรือนจำเขาบิน ลงมือทำร้ายร่างกายผู้ต้องขัง 


ซึ่งทนายรณรงค์ บอกว่า ครอบครัวผู้ต้องขังเห็นข่าวกรณีของผู้กำกับโจ้หวั่นว่าจะซ้ำรอยและเกรงว่าจะไม่ได้รับความเป็นธรรมตามกฎหมาย ทางมูลนิธิรณรงค์ทวงคืนความยุติธรรมในสังคมจึงได้ประสานงานกับทางอธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษให้ช่วยติดตามคดีนี้ด้วยเพราะว่ามีพยานหลักฐานหลายอย่างน่าสนใจและเคยแจ้งความไว้แล้วแต่คดีไม่คืบหน้า เพราะว่าอาจเกิดในพื้นที่พิเศษทำให้ยากต่อการเข้าถึงพยานหลักฐาน ทางมูลนิธิฯจึงพามาร้องต่อดีเอสไอ 


โดย น.ส.เอ อายุ 52 ปี แม่ของผู้ต้องขังเล่าให้ฟังว่า ลูกชายถูกจับในข้อหายาเสพติดและถูกตัดสินโทษจำคุก 35 ปี ก่อนได้รับการลดหย่อนโทษเหลือจำคุก 32 ปี ติดมาแล้ว 8 ปี ซึ่งที่ผ่านมาแม่ได้เข้าเยี่ยมลูกชายตลอด ครั้งสุดท้ายที่ตนได้เข้าเยี่ยมลูกชายวันที่ 13 มกราคม 2568 สังเกตเห็นลูกชาย ซูบผอมมากๆ และบอกว่าถูกลดปริมาณข้าว แต่ลูกยังไม่ได้เล่าสาเหตุ อะไรให้ฟังมากเนื่องจากเป็นการเข้าเยี่ยมผ่าน Video Conference และมีการบันทึกภาพและเสียงลูกชายจึงกลัวว่าทางผู้คุมจะดักฟังหากพูดอะไรออกไปก็จะถูกทำร้าย กลั่นแกล้ง 


หลังจากนั้นเพื่อนของลูกชายที่ติดอยู่เรือนจำเดียวกันพ้นโทษออกมา ได้มอบจดหมายน้อยที่ลูกชายแอบเขียนเพื่อฝากส่งมาให้ตน โดยใจความในจดหมาย ระบุว่า ลูกชายกำลังมีปัญหากับ กับเจ้าหน้าที่ถูกจ้องเล่นงานทุกทางให้คนโทษน้อยมาทำร้ายเพื่อที่จะให้ลูกชาย ตัวเองสู้กับและจะตั้งเรื่องทะเลาะวิวาท และตอนนี้เจ้าหน้าที่ตัดการเยี่ยมญาติ ให้ติดต่อสำนักข่าวไว้ เขามีทนายให้ มีคนใช้วิธีนี้แล้วได้ผล อีกวิธีแจ้งคณะกรรมการทรมานถ้าใช้วิธีนี้ทางหน่วยงานจะสั่งย้ายพวกลูกชายไปอยู่ในที่ปลอดภัย ตอนนี้ลูกชายและพวกตกที่นั่งลำบากมาก พร้อมทิ้งท้ายเป็นรหัสลับว่า ถ้าจัดการทุกอย่างเรียบร้อยดีแล้วให้สั่งน้ำเปล่าเข้ามาให้ 2 แพ็ก


โดยผู้เป็นแม่เล่าอีกว่า หลังได้รับจดหมายน้อยจากเพื่อนลูกชาย เพื่อนลูกชายเล่าให้ฟังว่า ก่อนหน้านี้ภายในเรือนจำมีเหตุจลาจลเป็นกลุ่มนักโทษบ้านภาคกลางและกลุ่มนักโทษบ้านภาคใต้ทะเลาะกัน ซึ่งยอมรับว่า ลูกชายเป็น 1 ใน 11 คนที่อยู่ในกลุ่มบ้านภาคกลางและก่อเหตุจลาจล จึงถูกผู้คุมทำโทษทางวินัย แต่ใช้วิธีการทำร้ายร่างกาย เริ่มจากการใช้กระบองตีเข้าที่หลัง ลำตัว และใช้เคเบิ้ลไทร์มัดมือไพล่หลัง ให้นอนคว่ำลงกับพื้น และให้กลิ้งไถลไปกับพื้นกลับเข้าแดน จากนั้นเตะด้วยรองเท้าคอมแบท ซึ่งตนมองว่าเป็นวิธีการที่ทารุณ เกินกว่าเหตุ ไม่ใช่การลงโทษทางวินัย


หลังตนทราบเรื่อง ตนพยายามติดต่อขอเข้าเยี่ยมลูกชาย แต่ได้รับการปฏิเสธโดยให้เหตุผลว่า อยู่ในระหว่างการงดเยี่ยม เนื่องจากลูกชายทำผิดวินัยก่อเหตุจลาจล ตนได้ไปแจ้งความลงบันทึกประจำวันไว้ที่ สภ.เมืองราชบุรี วันที่ 7 มีนาคมที่ผ่านมา ซึ่งยังไม่ได้รับการติดต่อหรือความคืบหน้าทางคดีตนจึงกังวลว่าลูกชายจะได้รับอันตรายหรือถูกทำร้ายร่างกายซ้ำอีกและอาจซ้ำรอยกรณีผู้กำกับโจ้


ด้านทนายรณรงค์ แก้วเพชร อธิบายเกี่ยวกับข้อกฎหมายว่า ผู้ต้องขังที่ถูกตัดสินโทษจำคุก ถือว่าได้รับโทษตามกฎหมายตามความผิดที่ก่อแล้ว แต่ผู้คุมทุกคนหรือเจ้าหน้าที่ราชทัณฑ์ไม่มีสิทธิ์ใช้ความรุนแรงหรือทำร้ายร่างกายผู้ต้องขัง โดยยึดตามพระราชบัญญัติอุ้มหายซ้อมทรมานฯ ซึ่งวันนี้มีญาติอดีตผู้ต้องขังอีกคนที่เพิ่งพ้นโทษออกมาและมีภาพหลักฐานชัดเจนว่า ถูกทำร้ายทุบตีมีรอยแผลฟกช้ำตามร่างกาย ซึ่งอดีตผู้ต้องขังรายนี้พร้อมเป็นพยานให้ด้วย ซึ่งเรื่องนี้ ตนมองว่าไม่ควรจะปล่อยและต้องให้ความเป็นธรรม ตนต้องการให้เรื่องนี้เข้าสู่คณะอนุกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริงตามพระราชบัญญัติอุ้มหายซ้อมทรมาน 


ส่วนอีกกรณีหนึ่งเป็นญาติผู้ต้องขังที่มีการเสียชีวิตในเรือนจำเดียวกัน ลักษณะน้ำลายฟูมปาก แต่ทางญาติยังไม่ขอให้รายละเอียด ขอเข้ายื่นหนังสือให้กรมสอบสวนคดีพิเศษและตรวจสอบข้อเท็จจริงก่อน

TAGS:

ข่าวที่เกี่ยวข้อง