สส.ปชน.เตือนรัฐบาลอย่าดูเบา เหมืองเมียนมาสร้างปัญหากระทบไทย

สส.ปชน.เตือนรัฐบาลอย่าดูเบา เหมืองเมียนมาสร้างปัญหากระทบไทย

179127 พ.ค. 68 14:43   |     ข่าวเวิร์คพอยท์

สส.ปชน.เตือนรัฐบาลอย่าดูเบาปัญหาเหมืองฝั่งเมียนมา ต้นตอสารพิษในลำน้ำกก-ลำน้ำสาย แถมทำลายหน้าดินซ้ำเติมปัญหาน้ำท่วมฝั่งไทย

(27 พ.ค. 68) จุฬาลักษณ์ ขันสุธรรม สส.เชียงราย เขต 6 พรรคประชาชน ตั้งข้อสังเกตกรณีเหตุการณ์น้ำท่วมแม่สายและกรณีแม่น้ำกก-แม่น้ำสายปนเปื้อนสารพิษว่า ตั้งแต่เดือนกันยายนปี 2567 ในช่วงเหตุการณ์น้ำท่วมบริเวณ อ.แม่สาย และหลายพื้นที่ใน จ.เชียงราย ขณะนั้นแม่น้ำกกและแม่น้ำสายได้พัดพา ‘น้ำโคลน’ มาท่วมบ้านประชาชนจนเดือดร้อนกันถ้วนหน้า หลายคนคงจำได้ว่าหลังจากเกิดภัยพิบัติ มีมูลนิธิและหน่วยงานต่าง ๆ เข้ามาอาสาขุดดินโคลนบริเวณที่อยู่อาศัยและล้างบ้านคนอยู่หลายเดือน เนื่องจากโคลนที่ถูกสายน้ำพัดมานั้นมีปริมาณมหาศาล ถือเป็นความผิดปกติของน้ำท่วม ทั้งคนในพื้นที่และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องต่างแปลกใจว่าทำไมน้ำท่วมจึงกลายเป็นโคลนเช่นนี้ได้ ทำให้หลายฝ่ายคาดว่าคงมีอะไรผิดปกติที่ตอนบนของประเทศ อาจมีการปลูกยางพารา หรือข้าวโพด ที่ทำลายหน้าดิน


จนกระทั่งต้นปี 2568 ชาวบ้านที่ ต.ท่าตอน อ.แม่อาย จ.เชียงใหม่ ได้สังเกตว่าน้ำขุ่นมาตลอด ปกติในช่วงดังกล่าวน้ำในแม่น้ำจะใสกว่านี้ ต่อมาในเดือนมีนาคมจึงมีการเดินขบวนของชาวบ้านเพื่อเรียกร้องให้หาสาเหตุและแก้ปัญหา เพราะมีผู้พบเห็นการทำเหมืองแร่ทองคำบริเวณแม่น้ำกก ทำให้ชาวบ้านคาดว่าคือต้นตอของน้ำขุ่น เหตุการณ์นี้ทำให้กรมควบคุมมลพิษดำเนินการตรวจสอบคุณภาพน้ำทุก 2 สัปดาห์ ครั้งแรกในเดือนมีนาคม 2568 พบสารหนูปนเปื้อนเกินค่ามาตรฐานตามจุดต่าง ๆ ในแม่น้ำกก อีกทั้งผลตรวจจากแม่น้ำสายและแม่น้ำโขงที่ อ.เชียงแสน จ.เชียงราย ก็พบสารโลหะหนัก โดยเฉพาะสารหนูเกินค่ามาตรฐานหลายจุด หลังจากนั้นมีการทำประกาศเตือนจาก จ.เชียงราย และหน่วยงานสาธารณสุขต่างๆ ให้ประชาชนงดการสัมผัสน้ำจากลำน้ำกกโดยตรง พร้อมกำหนดข้อปฏิบัติต่างๆ



จากที่เราทราบแค่ว่ามีการทำเหมืองทองในเมียนมา แต่ไม่นานมานี้มีการเปิดเผยภาพถ่ายจากดาวเทียม ที่ชี้ให้เห็นการทำเหมืองแร่แรร์เอิร์ธ (Rare Earth) บริเวณต้นน้ำกกด้วย ซึ่งยิ่งน่ากังวล เพราะสารปนเปื้อนที่มาจากเหมืองแร่แรร์เอิร์ธคือ ‘แคดเมียม’ มารวมกับสารโลหะหนักอื่นๆ จากเหมืองทองที่มีอยู่แล้ว ภาพถ่ายดาวเทียมจากสำนักงานพัฒนาเทคโนโลยีอวกาศและภูมิสารสนเทศ (องค์การมหาชน) หรือ GISTDA ชี้ให้เห็นด้วยว่าการเปิดหน้าดินมากถึง 40 จุดตลอดลำน้ำและต้นน้ำกก ซึ่งเพิ่งเริ่มต้นเมื่อปีที่แล้ว หากเหมืองแร่ต่างๆ ยังดำเนินไปแบบนี้เรื่อย ๆ วิกฤตนี้จะรุนแรงกว่านี้หลายเท่าตัว โดยมูลนิธิสิทธิมนุษยชนไทใหญ่ เปิดเผยภาพเหมืองแร่แรร์เอิร์ธห่างจากชายแดนไทยที่ ต.ท่าตอน อ.แม่อาย จ.เชียงใหม่ เพียง 25 กิโลเมตร


แม้ว่าที่ผ่านมา การประปาส่วนภูมิภาคจะยืนยันว่าการบำบัดและผลิตน้ำประปานั้นอยู่ในค่ามาตรฐาน และสามารถกำจัดสารโลหะหนักเหล่านี้ออกไปได้ แต่การใช้น้ำกกไม่ได้มีแค่นั้น เพราะชาวบ้านจำนวนมากมีวิถีชีวิตที่พึ่งพิงลำน้ำกก โดยน้ำที่อยู่ในแม่น้ำนั้น ถูกเอาไปใช้ในพื้นที่ชลประทานตลอดสองฝั่งแม่น้ำนับหมื่นไร่ เกษตรกรที่ปลูกข้าวหรือพืชพรรณต่าง ๆ ล้วนต้องใช้น้ำโดยตรงจากแม่น้ำกก


อันตรายจากแม่น้ำปนเปื้อนยังไม่จบเพียงเท่านั้น ที่ผ่านมาอาจเห็นภาพชาวประมงจับปลาแค้ที่เต็มไปด้วยตุ่มสยดสยอง กลายเป็นอีกหนึ่งหลักฐานที่ชี้ว่าสิ่งมีชีวิตใต้น้ำกำลังเผชิญพิษอยู่และอาจกระทบสู่ห่วงโซ่อาหาร เพราะในระยะยาวสารปนเปื้อนที่อยู่ในน้ำ ผัก ปลา จนถึงเนื้อสัตว์ต่าง ๆ ที่เราบริโภค จะกระทบถึงเราในที่สุด สุขภาพของประชาชนจึงกลายเป็นเรื่องที่มองข้ามไม่ได้ เพราะก่อนหน้านี้มีรายงานหลายจุดที่คนลงเล่นน้ำแล้วมีตุ่มพุพอง บ่งบอกถึงอันตรายที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต ว่าหากร่างกายมนุษย์ต้องสัมผัสสารปนเปื้อนอย่างต่อเนื่อง อาจเป็นสาเหตุของมะเร็งต่าง ๆ โดยเฉพาะมะเร็งเม็ดเลือด ผลกระทบต่อทารกในครรภ์ หรือแม้กระทั่งพัฒนาการของเด็กที่อาจช้าลง



จุฬาลักษณ์ กล่าวต่อว่า อีกหนึ่งสิ่งที่น่ากังวลอย่างมากคือช่วงฤดูน้ำหลาก ซึ่งลำพังแค่น้ำท่วมเฉย ๆ เมื่อปีที่แล้ว สถานการณ์ก็สาหัสมากแล้ว แต่คราวนี้หากเกิดฝนตก เกิดโคลนพัดมาถล่มเชียงรายแม่สายประชาชนจำนวนมากจะต้องเผชิญกับสารพิษปนเปื้อนอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ อีกทั้งการช่วยเหลือผู้ประสบภัยจะเป็นไปอย่างยากลำบาก


ทั้งนี้ ลักษณะภูมิประเทศอำเภอแม่สายนั้นเปิดทางให้น้ำหลาก เพราะแม่สายตั้งอยู่ในพื้นที่ราบระหว่างหุบเขา มีแม่น้ำสายไหลผ่านกลางเมือง โดยแม่น้ำสายมีต้นน้ำอยู่ในประเทศเมียนมาถึง 80% หมายความว่าทุกครั้งที่ฝั่งเมียนมามีฝนตกหนัก พื้นที่ชายแดนไทยจะเป็นจุดรับน้ำสายแรกอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ในขณะเดียวกันการศึกษาด้านธรณีวิทยาพบว่าพื้นที่บริเวณตัวเมืองเเม่สาย โดยเฉพาะสองฝั่งแม่น้ำสายที่ใกล้กับด่านชายแดนไทย-เมียนมา เป็นพื้นที่ที่มีดินตะกอนไหลทับถมสะสมมาตั้งแต่อดีต แม่น้ำสายยังเชื่อมกับแม่น้ำรวก ก่อนจะไหลลงสู่แม่น้ำโขง หากระดับน้ำในแม่น้ำโขงสูงขึ้นในช่วงฤดูฝน ก็จะส่งผลให้แม่น้ำสายระบายน้ำได้ช้าลง เกิดน้ำเอ่อล้นและท่วมขังในเขตเมืองแม่สาย


อย่างไรก็ตาม ฝนตกหนักไม่ใช่ปัญหาเดียว ต้นน้ำเปลี่ยนสภาพต่างหากที่น่ากังวล สิ่งที่ทำให้ฝนธรรมดากลายเป็นน้ำท่วมฉับพลัน ก็คือการเปลี่ยนแปลงพื้นที่ต้นน้ำในฝั่งเมียนมา โดยเฉพาะบริเวณภูเขาทางตอนเหนือของแม่น้ำสาย ซึ่งเดิมเป็นป่าไม้ธรรมชาติ ถูกแปรสภาพเป็นพื้นที่เกษตรกรรม รวมถึงเหมืองแร่จำนวนหลายจุดด้วยกัน ทำให้ศักยภาพของป่าไม้ในการชะลอและกักเก็บน้ำลดลงไปด้วย เมื่อป่าไม้หายไป ความสามารถในการซับน้ำของดินก็ลดลง ฝนที่ตกหนักจึงไม่ถูกดูดซึมแต่กลายเป็นน้ำไหลบ่า หน้าดินที่ไร้รากไม้ค้ำยันถูกชะล้างอย่างรวดเร็ว ก่อให้เกิดโคลนถล่มและตะกอนดินมหาศาลที่ไหลลงสู่แม่น้ำสาย



จากภาพถ่ายดาวเทียมของ GISTDA พบร่องรอยการพังทลายของหน้าดินขนาดใหญ่ ความกว้างหลายสิบเมตรในภูเขาฝั่งเมียนมา แต่ละร่องรอยมีความกว้างประมาณ 20 – 30 เมตร หรือเทียบเท่ากับถนนขนาด 4 เลน และมีความยาวหลายสิบเมตรถึงหลายร้อยเมตร แตกต่างกันไปตามลักษณะพื้นที่ สะท้อนให้เห็นถึงหนึ่งในสาเหตุของตะกอนดินโคลนจำนวนมากที่ไหลทับถมในพื้นที่ด้านล่าง


ตะกอนโคลน-ขอนไม้-ขยะ ทำให้แม่น้ำตื้นและไหลไม่ทัน เมื่อหน้าดินไหลลงแม่น้ำสายจำนวนมาก จะทำให้แม่น้ำตื้นเขินขึ้นทุกปี และไม่สามารถระบายน้ำได้ทัน โดยเฉพาะในช่วงพีคของฝนฤดูมรสุม ที่สำคัญคือโคลน น้ำ และเศษซากไม้ยังไหลทะลักเข้าพื้นที่ชุมชนอย่างรุนแรง สร้างความเสียหายต่อทั้งบ้านเรือนและโครงสร้างพื้นฐาน หลายชุมชนในแม่สาย เช่น ชุมชนเกาะทราย และไม้ลุงขน เผชิญกับตะกอนโคลนท่วมสูงกว่าหนึ่งเมตรในบางจุด ต้องใช้เวลาหลายวันในการฟื้นฟูและเปิดเส้นทางสัญจรอีกครั้ง


อีกหนึ่งเงื่อนไขที่ทำให้น้ำท่วมรุนแรงขึ้น คือเมืองขยาย ทางน้ำแคบ ระบบระบายน้ำรับไม่ไหว การขยายตัวของเมืองแม่สายและท่าขี้เหล็ก พื้นที่รับน้ำตามธรรมชาติจำนวนมากถูกแทนที่ด้วยถนน อาคารพาณิชย์ และสิ่งปลูกสร้างตลอดแนวชายแดน แม้การพัฒนาเศรษฐกิจจะเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ แต่หากไม่มีแผนผังเมืองที่รองรับการระบายน้ำ ผลที่ตามมาคือเมืองจะกลายเป็นอ่างรับน้ำที่ระบายไม่ทันในทุกฤดูฝน


แม้หน่วยงานท้องถิ่นพยายามแก้ไขปัญหาอย่างต่อเนื่อง ทั้งการขุดลอกแม่น้ำสาย เสริมพนังกั้นน้ำ และเตรียมแผนอพยพประชาชนในพื้นที่เสี่ยง แต่ความท้าทายหลักยังคงอยู่ที่ต้นน้ำฝั่งเมียนมา ซึ่งไทยไม่สามารถควบคุมโดยตรงได้ นักวิชาการบางรายเสนอว่าควรมีระบบความร่วมมือระดับชายแดน เช่น การแจ้งเตือนฝนตกหนักล่วงหน้า การจำกัดการถางป่า และมาตรการควบคุมเหมืองแร่ที่ต้นน้ำเพื่อชะลอกระแสน้ำตั้งแต่ต้นทาง ไม่ใช่รอแก้ปัญหาเฉพาะปลายน้ำที่แม่สายเพียงอย่างเดียว ตอนนี้สิ่งที่ควรจะทำที่สุดคือรัฐบาลต้องเจรจากับกองกำลังว้า ซึ่งเป็นเจ้าของพื้นที่ เพื่อให้บริษัทเหมืองทั้งหลาย ยุติการดำเนินการทันที


“อยากให้รัฐบาลไทยรับรู้ถึงความกังวล ความหวาดกลัวของชาวเชียงราย หรือประชาชนที่ใช้แม่น้ำกก แม่น้ำสาย แม่น้ำโขงในเวลานี้มากกว่านี้ และทำอะไรทันที ปัญหานี้เป็นเรื่องระหว่างประเทศ ดังนั้นการสั่งการให้จังหวัดจัดการเพียงอย่างเดียว จึงอาจเกินขอบเขตไปมาก”


จุฬาลักษณ์กล่าวว่า ประชาชนในพื้นที่ประสบภัย เล่าว่าพวกเขากำลังเป็นห่วงและเครียดมาก ว่าแม่น้ำของเขากำลังปนเปื้อนด้วยสารพิษโลหะหนักมากมาย โดยเขาบอกว่า “ทำไมหน่วยงานรัฐฯ ถึงได้ให้ข้อมูลเหมือนเกินมาตรฐานเพียงเล็กน้อย” ทั้ง ๆ ที่ความเดือดร้อนของชาวบ้าน ไม่ได้เล็กน้อยเลย ปัญหานี้เร่งด่วนและวิกฤตมาก การแก้ไขเชิงรุกจากรัฐบาลจึงมีความจำเป็น ไม่ว่ามาตรการด้านการค้าชายแดน ด้านความมั่นคงหรือเศรษฐกิจใดๆ รัฐบาลต้องงัดออกมาใช้ทันที เพื่อกดดันผู้รับผิดชอบทุกทาง


น้ำท่วมแม่สายเป็นครั้งที่ 2 ในรอบ 26 วัน ของปี 2568 ครั้งที่ 1 เกิดขึ้นเมื่อวันที่ 29 เมษายน 2568 ครั้งที่ 2 เกิดขึ้นเมื่อกลางดึกของวันที่ 23 พฤษภาคม 2568 ตนเห็นว่าทั้ง 2 ครั้งให้บทเรียนว่า 1. ภาครัฐยังคงล้มเหลวในการประกาศเตือนล่วงหน้า ถึงแม้จะมีเครื่องโทรมาตรวัดน้ำทั้งในเขตเมียนมาและฝั่งไทย แต่สุดท้ายก็ไม่มีหน่วยงานภาครัฐประมวลผลข้อมูลและออกประกาศเตือนล่วงหน้า ส่งผลให้ประชาชนต้องเตือนกันเองผ่านช่องทางโซเชียลมีเดีย 2. ภาครัฐไม่มีแผนการรับมือน้ำท่วมอย่างเป็นรูปธรรมในพื้นที่แม่สายและเชียงราย ทั้งที่รู้อยู่แล้วว่าน้ำจะท่วมอีกแน่ ๆ แต่ภาครัฐก็ล้มเหลวในการรับมือน้ำท่วมอีกเช่นเคย และ 3. ภาครัฐไม่มีแนวปฏิบัติให้ประชาชนรับทราบ เข้าใจ และนำไปปฏิบัติในกรณีที่ต้องเผชิญกับน้ำท่วมที่มาพร้อมกับสารพิษ


ทั้ง 3 ข้อที่กล่าวมา ทำให้คิดถึงว่าประชาชนในพื้นที่น้ำท่วมลุ่มน้ำกกน้ำสายต้องเตรียมพร้อมอย่างไรบ้าง 1. ต้องการชุดตรวจสารโลหะหนักภาคสนามที่รู้ผลตรวจภายใน 5 - 30 นาที สำหรับทุกชุมชน อย่างน้อยชุมชนละ 10 ชุด สำหรับใช้ตรวจหาสารโลหะหนักที่จะมาพร้อมกับน้ำท่วม เพื่อให้ชุมชนมีข้อมูลที่สามารถตัดสินใจได้อย่างทันท่วงที 2. ต้องการชุดแต่งกายสำหรับหน่วยกู้ภัยและอาสาสมัครในจังหวัดเชียงรายที่ปลอดภัยจากการสัมผัสสารโลหะหนักในระหว่างที่ชุดกู้ภัยออกให้ความช่วยเหลือประชาชนในระหว่างน้ำท่วม 3. ต้องการให้รัฐบาลออกแผนงานการรับมือน้ำท่วมที่มาพร้อมกับสารพิษ นี่คือสถานกรณ์น้ำท่วมที่มาพร้อมกับสารพิษข้ามพรมแดน ไม่ใช่น้ำท่วมแบบปกติอีกต่อไปแล้ว


4. ต้องการให้รัฐบาลออกแนวปฏิบัติว่าต้องทำอย่างไรเมื่อเกิดเหตุการณ์น้ำท่วมที่มาพร้อมกับสารพิษ เพื่อให้ประชาชนเข้าใจและดูแลตัวเองได้อย่างถูกต้อง 5. ต้องการให้รัฐบาลเร่งขุดลอกและเร่งทำพนังกั้นน้ำ แม่น้ำสาย-แม่น้ำรวก รวมถึงในพื้นที่ชุมชนไม้ลุงขน เกาะทราย ผามควาย เหมืองแดง และในเขต อบต.เกาะช้าง ยังเสี่ยงต่อน้ำท่วม กระสอบทรายกั้นน้ำยังไม่เพียงพอต่อประชาชนในพื้นที่ดังกล่าว และ 6. ต้องการให้รัฐบาลเจรจากดดันให้รัฐบาลเมียนมา จีน และว้า ยุติการทำเหมืองอย่างถาวรในต้นน้ำกก น้ำสาย และน้ำรวก เนื่องจากสร้างความเดือดร้อนให้ประชาชนทั้งในประเทศเมียนมาและไทย


TAGS:

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

Thailand Web Stat