“พีช หลีนวรัตน์” คุกเข่าขอขมาเก้อ - “กัน” ดึงผู้เสียหายหนี บอกมัดมือชก
“พีช หลีนวรัตน์” คุกเข่าขอขมาเก้อ - “กัน” ดึงผู้เสียหายหนี บอกมัดมือชก

“พีช หลีนวรัตน์” คุกเข่าไหว้ขอขมาลูกๆ ของลุง-ป้า ผู้เสียหายจากคดีซิ่งรถหรูปาดหน้า แต่ “กัน จอมพลัง” ดึงผู้เสียหายเดินหนี ลั่น “มัดมือชกกันเกินไป”
(19 เม.ย. 68) เวลา 15.40 น. กัน จอมพลัง พร้อมครอบครัวของผู้เสียหาย ที่ถูกนายสมิทธิพัฒน์ หลีนวรัตน์ หรือพีช ผู้สมัครเลือกตั้ง สท.ธัญบุรี และเป็นลูกชายของ นายกฤษฎา หลีนวรัตน์ อดีตนายกเทศมนตรีเทศบาลตำบลธัญบุรี ขับรถเก๋งบีเอ็มดับเบิลยูปาดไปมาจนประสบอุบัติเหตุ ได้เดินมาที่ สภ.ลำลูกกา เพื่อมาพบกับพนักงานสอบสวนและนายสมิทธิพัฒน์
โดยกัน จอมพลัง ระบุว่า วันนี้พาทางครอบครัวพร้อมกับพยานที่เห็นเหตุการณ์มาพบกับเจ้าหน้าที่ตำรวจ โดยวันนี้ถือเป็นการเปิดทางให้ฝั่งนายสมิทธิพัฒน์ที่พูดว่าอยากจะพบเจอเพื่อขอโทษหรือพูดคุยกับทางฝั่งครอบครัวของผู้เสียหาย แต่จากที่ตนเองพูดคุยกับครอบครัวก็อยากให้พบเจอกันในที่แจ้งต่อหน้าสื่อ เพื่อให้ทุกคนได้เห็นว่านายสมิทธิพัฒน์สำนึกผิดจริงหรือไม่ หรือถูกกดดันจากสังคมจึงออกมาขอโทษ เนื่องจากเมื่อวานนี้นายสมิทธิพัฒน์ได้พูดในรายการหนึ่งว่า หากลุงและป้าผู้เสียหายจอดรถ ก็จะไม่มีเหตุการณ์ดังกล่าวเกิดขึ้น
กัน จอมพลัง กล่าวต่อว่า ซึ่งคดีในช่วงแรกนั้นทางฝั่งตำรวจทางหลวงก็ได้สรุปแล้วว่าเป็นการประมาทร่วม ตนเองมองว่าหากมีความเอื้ออาทรกันบนท้องถนน เหตุการณ์ทุกอย่างก็จะไม่เกิดขึ้น และจากคำกล่าวอ้างต่างๆของนายสมิทธิพัฒน์ แต่หากเทียบกับคลิปและตามคำบอกเล่าของฝั่งครอบครัวผู้เสียหาย ตนมองว่าคนละเรื่อง
โดยในวันนี้วันนี้จะนำข้อมูลต่างๆที่พยานนำมาให้ในส่วนที่น่าสนใจก็คือ เรื่องของความเร็ว ที่มีพยานบางคนเห็นว่าก่อนหน้านี้ เจอกับรถของนายสมิทธิพัฒน์ บนเส้นทางด่วนดังกล่าว พบว่ามีการขับเร็ว 120 กิโลเมตร/ชั่วโมง จึงอยากให้ทางตำรวจสอบว่าความเร็วที่ใช้ในเวลานั้นอยู่ที่เท่าไร หากความเร็วออกมาสูงการเบียดในลักษณะแบบนั้นจะสามารถทำให้ลุงกับป้าเสียชีวิตได้หรือไม่
อีกประเด็นคือให้สอบหมอที่รักษาลุง ว่าอาการกระดูกซี่โครงหัก 6 ซี่ สามารถทำให้เสียชีวิตได้หรือไม่ จะสามารถเพิ่มข้อกล่าวหาได้หรือไม่ รวมถึงเรื่องที่นายพีชมีการลงบันทึกประจำวันไว้ในช่วงวันเกิดเหตุที่แจ้งว่าลุงขับชนตัวเอง ส่วนนี้จะเป็นการลงข้อความเท็จในเอกสารหรือไม่
กัน จอมพลัง เปิดเผยอีกว่า ก่อนที่ตนเองจะมามีพี่ชายของตนเองโทรหา ขอตนเองในบางเรื่อง ตนจึงขอกลับไปว่า ให้หยุดปากแจ๋ว และขอให้นายสมิทธิพัฒน์รู้สึกผิดจริงๆ และให้รับผิดชอบผู้เสียหายแบบเต็มที่ มองว่าจะเยียวยาในส่วนใดบ้าง เรื่องแบบนี้ไม่จำเป็นให้ใครมาบอก คนที่อาสารับใช้ประชาชนต้องคิดได้ และตามคำกล่าวอ้างของนายกเบี้ยวที่บอกว่านายสมิทธิพัฒน์ว่ายังเด็ก อ่อนไหวและอ่อนประสบการณ์ จึงอยากถามกลับอีกว่า หากยังอ่อนไหวและอ่อนประสบการณ์จะมารับใช้ประชาชนได้หรือ
กัน จอมพลัง ย้ำว่า ไม่กังวลว่านายสมิทธิพัฒน์จะเป็นลูกนักการเมือง หรือนามสกุลดังหรือรวย อยากให้ทราบว่าคนจนก็มีแรงสู้ และต้องได้รับความยุติธรรม นอกจากนี้ที่ตำรวจได้ปล่อยตัวนายสมิทธิพัฒน์ โดยไม่ให้วางหลักทรัพย์ในการประกันตัว โดยให้เหตุผลว่าเป็นเพราะนายสมิทธิพัฒน์มามอบตัว บรรทัดฐานตรงนี้เป็นแบบนี้กับทุกคนหรือไม่
ด้าน น.ส.แสงอรุณ ลูกสาวผู้เสียหาย กล่าวว่า เมื่อวานที่นายสมิทธิพัฒน์ขอโทษผ่านทางรายการ มองว่านายสมิทธิพัฒน์ถูกกดดันจากสังคมและสื่อ จึงอยากทราบว่านายสมิทธิพัฒน์รู้สึกผิดจริงหรือไม่ แต่จากเมื่อวานที่ดูไม่เห็นความจริงใจเท่าไร มองว่าที่ออกมาขอโทษจะนำไปประกอบในการลดทอนโทษของคดีหรือไม่ อาจเป็นการช่วยเหลือตนเอง ซึ่งตอนนี้ยังไม่สามารถพูดคำว่าอภัยได้ เพราะพ่อแม่ตนเองยังอยู่โรงพยาบาล อยากเห็นความรับผิดชอบแบบชัดเจน รวมถึงอยากได้รับความปลอดภัยทางร่างกายและจิตใจ ซึ่งตนเองและแม่ยังคงหวาดระแวงอยู่ นอนไม่หลับตั้งแต่วันเกิดเหตุ รู้สึกว่าครอบครัวตนเองเป็นเพียงคนธรรมดาตัวเล็กๆ ซึ่งตัวแม่เองก็ยังไม่พร้อมเจอเพราะยังคงกลัวอยู่
ตนเองคิดว่าหากกัน จอมพลัง ไม่มาช่วยคงไม่ได้รับคำขอโทษ และเรื่องคงไม่ดำเนินไว ส่วนเรื่องการเมือง ตนไม่ขอพูดถึงเรื่องนี้ ตนเองอยากให้มาขอโทษกลางสื่อ เพื่อแสดงความจริงใจ
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ขณะที่สัมภาษณ์เสร็จสิ้น ทางนายกเบี้ยว และนายสมิทธิพัฒน์ถือพวงมาลัย 2 พวง พร้อมยกมือไหว้ กัน จอมพลัง จึงถามถึงเรื่องที่กล่าวในรายการที่นายพีชพูดว่า “หากลุงจอด เรื่องจะไม่เกิดขึ้น” ทางครอบครัวติดใจในเรื่องนี้ แต่ทางนายกเบี้ยว ตอบว่า “เข้าใจ แต่เห็นใจผมบ้าง ผมเหนื่อยแล้วนะ” ก่อนที่ กัน จอมพลัง จะบอกว่า ” ก็เข้าใจฝั่งครอบครัวบ้าง“ ในจังหวะนั้นนายพีชจึงคุกเข่าลงต่อหน้าลูกสาวของผู้เสียหายเตรียมที่จะขอโทษ จากนั้นลูกสาวของผู้เสียหายก็ยื่นมือจะรับพวงมาลัย แต่ทางด้าน กัน จอมพลัง ได้ดึงตัวลูกสาวผู้เสียหายออก พร้อมกล่าวว่า ”แบบนี้มัดมือชกเกินไป“
จากนั้นนายพีชได้พูดน้ำเสียงสั่นเครือว่า “ผมก็ขอโทษพี่นุ๊ก พี่นิก และคุณลุงคุณป้า ผมไม่เจตนาให้เป็นอย่างนั้น” กัน จอมพลัง สวนกลับมาทันทีว่า “ร้องไห้แล้วหรอ” นายพีชจึงกล่าวต่อว่า ”และเรื่องค่าเสียหายทั้งหมดค่ารถ ค่าพยาบาล ยินยอมที่จะดูแลให้ ซึ่งเรื่องที่ตนไม่ได้ดูแลตั้งแต่วันแรกตนยอมรับว่าตกใจจริงๆ ไม่ได้มีเจตนาที่จะหนีไปไหน รู้สึกผิดที่ทำให้ลุงบาดเจ็บ หากมองย้อนกลับเป็นเป็นครอบครัวตนเอง ก็รู้สึกไม่ดีเช่นกัน มาวันนี้ก็ตั้งใจที่จะมาขอโทษแล้วก็ขอโอกาสสังคม หยุดด่าตนเอง“
ด้าน กัน จอมพลัง ถามกลับว่า “ทำไมวันเกิดเหตุถึงไม่เรียกรถพยาบาล” ทางด้านนายกเบี้ยวจึงประคองนายสมิทธิพัฒน์ลุกขึ้นพาเดินออกจากวงสัมภาษณ์และพากลับขึ้นรถ โดยระหว่างที่ขึ้นรถนั้น นายสมิทธิพัฒน์ ได้ร้องไห้ออกมา พร้อมกับบอกว่า “ผมรู้สึกผิดแล้วก็ขอโทษแล้วนะพี่ ขอโทษอย่างจริงใจ รู้สึกผิด และ ทุกอย่างโจมตีมาที่ผม ทั้งที่ผมผิดคนเดียว แต่มันตามมาที่พ่อแม่ผม ผมรู้สึกว่ามันเยอะเกินไปแล้ว ผมรู้สึกไม่สบายใจ” จากนั้น นายสมิทธิพัฒน์ก็ได้ขึ้นรถไป โดย นายกเบี้ยว เดินตามหลัง ก่อนจะพูดส่งท้ายว่า “พอแล้วนะ”
จากนั้นกัน จอมพลัง กล่าวเพิ่มเติมว่า เป็นการเจรจาตรงไหน ซึ่งก็ผ่านมาหลายวันแล้วยังไม่รู้เลยว่าค่ารักษาพยาบาล ค่ารถใครจะเป็นคนจ่าย สิ่งที่เกิดขึ้นยังไม่มีความชัดเจน มองว่าที่ทำแบบนี้ ทำไปเพื่อประกอบในการลดโทษ หากขอโทษด้วยความจริงใจ ในเมื่อครอบครัวมีคำถามทำไมถึงไม่สามารถตอบคำถามให้ครอบครัวสบายใจได้ มองว่ามันไม่ใช่เรื่องที่จะแสดงความจริงใจ ไม่ใช่ว่าอยากจะทำอะไรตามใจตัวเอง พอทำตามใจเสร็จแล้วก็ไป มองว่าวันนี้เป็นโอกาสของนายสมิทธิพัฒน์ถ้าหากตัวเขาต้องการที่จะพูดคุยตกลงทางครอบครัวก็ตกลงที่จะพูดคุย และให้เจอกับทางคุณลุงคุณป้าได้อย่างสบายใจ นายกัน จอมพลัง ยังบอกอีกว่าคำขอโทษใครๆก็พูดได้
ในขณะที่ลูกสาว บอกว่า มีคำถามที่อยากจะถามคู่กรณีแต่เขาไม่ให้ถาม ซึ่งครอบครัวติดใจว่า “นายพีช รู้สึกผิดจริงๆใช่ไหม ไม่ได้คิดว่าครอบครัวของตนเองเป็นคนผิดใช่ไหม” ซึ่งมองว่าการขอโทษครั้งนี้ “เหมือนอยากจะมาขอโทษให้เห็นว่าเขามาขอโทษแล้ว” และคิดว่าที่อีกฝ่ายร้องไห้ เนื่องจากคนเยอะ และถูกกดดัน เป็นการขอโทษไปตามสภาพที่อยากจะขอโทษ และคิดว่าไม่มีความจริงใจ
ที่ผ่านมานายกเบี้ยวได้มีการมาขอโทษแทนลูกชายหลายครั้ง แต่คำว่าขอโทษควรจะทำให้ชัดเจนมากกว่านี้ ไม่ใช่ว่าเอาตะกร้ามาให้แล้วบอกว่าขอโทษเพียงเท่านั้น ซึ่งที่ผ่านมามีเพียงแค่คำขอโทษแต่ไม่มีการพูดคุยในเรื่องของการเยียวยาครอบครัว ส่วนนายกเบี้ยวมาคอยอยู่กับลูกตลอดเวลา มองว่าพ่อเขาก็รักลูกของเขา เหมือนที่เราก็รักพ่อกับแม่ของเรา เขาแสดงความชัดเจนในการเป็นพ่อที่รักลูก ส่วนจะมีการทำแทนหรือไม่นั้น ตนไม่ทราบ
ทั้งนี้ ที่หลายคน ตั้งคำถามว่าจะสามารถทำหน้าที่ดูแลประชาชนต่อไปได้หรือไม่นั้น ในเรื่องของการเมือง ตนขอไม่ตอบ ตนตอบในฐานะของลูกสาวผู้เสียหายเท่านั้น ยืนยันว่าคุณลุงกับคุณป้ายังไม่อยากเจอในนายพีช เนื่องจากยังติดตากับภาพวันเกิดเหตุ ยังไม่สะดวกใจรวมถึงยังมีความกังวล
TAGS:
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
