บุกช่วยเหยื่อลักพาตัว ดันเจอแก๊งคอลเซ็นเตอร์เกาหลี
บุกช่วยเหยื่อลักพาตัว ดันเจอแก๊งคอลเซ็นเตอร์เกาหลี

ตำรวจบุกพูลวิลล่าเมืองพัทยาช่วยเหยื่อลักพาตัวชาวเกาหลีใต้ เข้าไปถึงต้องอึ้งเพราะเจอแก๊งคอลเซ็นเตอร์เกาหลีแก๊งใหญ่ 21 คน เหยื่อลักพาตัวที่ไปช่วยก็นั่งทำงานอยู่ในบ้านนี้ด้วย
(21 มิ.ย. 68) ความคืบหน้ากรณีตำรวจท่องเที่ยว ร่วมกับตำรวจตรวจคนเข้าเมือง และ ตำรวจ สภ.บางละมุง นำกำลังบุกเข้าช่วยเหลือชาวเกาหลีใต้ หลังสถานทูตฯ ประสาน ถูกลักพาตัวมายังบ้านพูลวิลล่าหลังหนึ่งในพื้นที่ ต.นาเกลือ อ.บางละมุง จ.ชลบุรี
แต่พอนำกำลังมาถึงคนในบ้าน ซึ่งส่วนใหญ่เป็นชาวเกาหลีใต้ พากันวิ่งหนีตำรวจ บางคนกระโดดลงมาจากชั้น 2 ตกลงมากระแทกพื้นอย่างรุนแรงจนได้รับบาดเจ็บ บางคนวิ่งหนีออกไปถนนสุขุมวิท ตำรวจก็สามารถตามจับกุมได้ทั้งหมด
หลังจากนั้นมีการตรวจค้นในบ้าน พบคอมพิวเตอร์ โทรศัพท์มือถือ รวมกว่า 50 เครื่อง จึงทำการควบคุมตัวคนในบ้านทั้งหมด เป็นชาย ชาวเกาหลีใต้ รวม 21 คน เบื้องต้น ชาวเกาหลี กล่าวอ้างว่าทำธุรกิจเกี่ยวกับเงินกู้ที่ประเทศเกาหลี แต่ใช้ประเทศไทย เป็นสำนักงานใหญ่ในการประสานงาน ตำรวจเตรียมแจ้งข้อกล่าวหา ทำงานในประเทศไทยโดยผิดกฎหมาย และ อั้งยี่
ล่าสุดเมื่อเวลา 19.00 น. วันที่ 21 มิถุนายน 2568 พ.ต.อ. ทรงวุฒิ เชื้อพลากิจ ผกก.2 บก.ทท.1 เปิดเผยว่า ในคดีนี้ ต้นเรื่องมาจากการที่สถานทูตประเทศเกาหลีใต้ ประจำประเทศไทย ประสานมายังกองบัญชาการตำรวจท่องเที่ยว ว่ามี พลเมืองชาวเกาหลีใต้ ถูกลักพาตัว และบังคับทำงาน เกี่ยวกับแก๊งคอลเซ็นเตอร์ ในพื้นที่ เมืองพัทยา จ.ชลบุรี ซึ่งภายหลังได้รับการประสาน กองบัญชาการตำรวจท่องเที่ยว จึงสั่งการให้ชุดสืบสวน ตำรวจท่องเที่ยวเมืองพัทยา ลงพื้นที่หาข่าว จนพบว่าสัญญาณโทรศัพท์มือถือ ของบุคคลที่มีการแจ้งว่าถูกลักพาตัว อยู่ในบ้านพูลวิลล่า หลังดังกล่าว จึงได้ขอกำลังสนับสนุน ทั้งตำรวจท่องเที่ยว , ตำรวจตรวจคนเข้าเมือง , และตำรวจ สภ.บางละมุง เข้าทำการปิดล้อมบ้านพูลวิลล่า
พอตำรวจมาถึง ปรากฏว่า พบกลุ่มชาวเกาหลีใต้ กำลังนั่งเรียงรายทำงานอยู่หน้าโต๊ะคอมพิวเตอร์ พอเห็นตำรวจ ก็พากันแยกย้ายวิ่งหนีตายไปคนละทิศทาง ซึ่งตำรวจก็ตามไปจับได้ทั้งหมด บางคนก็กระโดดหนีลงมาจากชั้น 2 จนได้รับบาดเจ็บ ซึ่งในขณะนี้ ยืนยันแล้วว่าบุคคลที่ถูกควบคุมตัวได้ภายในบ้าน มีทั้งสิ้น 21 คน เป็นผู้ชายทั้งหมด โดยแบ่งเป็นชาวเกาหลีใต้ 20 คน และ คนจีน 1 คน ส่วนพลเมือง ชาวเกาหลีใต้ ที่มีการอ้างว่าถูกลักพาตัวมาทำงานกับแก๊งคอลเซ็นเตอร์ ปรากฏว่า จากการพิสูจน์ทราบ ยืนยันว่า บุคคลดังกล่าวมีอยู่ตัวตนอยู่จริง และกำลังนั่งทำงานรวมอยู่กับชาวเกาหลีใต้คนอื่นๆ ซึ่งตำรวจก็ได้ประสานไปแจ้ง กลับยังเจ้าหน้าที่สถานทูตเกาหลีใต้ประจำประเทศไทย เพื่อแจ้งกับทางญาติว่า บุคคลดังกล่าว ยังปลอดภัยดี
ส่วนอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ที่สามารถยึดได้ในบ้านหลังดังกล่าว เป็นคอมพิวเตอร์ตั้งโต๊ะ และคอมพิวเตอร์โน๊ตบุ๊ก รวมกว่า 40 เครื่อง นอกจากนี้ตามโต๊ะคอมพิวเตอร์ จะมีโทรศัพท์มือถือโทรผ่านระบบอินเตอร์เน็ต หรือที่เรียกว่า “ไอพี โฟน” วางอยู่ข้างโต๊ะคอมพิวเตอร์ 16 เครื่อง , โทรศัพท์มือถือยี่ห้อต่างๆ รวม 22 เครื่อง , และ เราเตอร์อินเตอร์เน็ต 2 เครื่อง ตำรวจจึงได้ทำการตรวจยึด พร้อมทั้งประสานตำรวจกองพิสูจน์หลักฐาน 2 ชลบุรี (พฐ.) มาทำการตรวจสอบดีเอ็นเอ และ ลายนิ้วมือ เพื่อใช้ในการประกอบสำนวนคดี
อีกทั้ง ตำรวจยังพบหลักฐานสำคัญ คือกระดานไวท์บอร์ด ถูกเขียนด้วยภาษาเกาหลี ลักษณะของข้อความ ถูกเขียนไว้ในลักษณะ เชิญชวนลงทุน ให้เล่นหุ้น รวมถึงอัตราค่าตอบแทนที่มูลมีมูลค่าสูงถึง 500 ล้านวอน หรือคิดเป็นเงินไทยเกือบ 12 ล้านบาท ซึ่งข้อความดังกล่าวเข้าข่าย แก๊งสแกมเมอร์ หรือ แก๊งคอลเซ็นเตอร์ และยังพบข้อความในลักษณะ เข้าข่ายโรแมนซ์สแกม เพื่อไปหลอกเหยื่อให้หลงรัก หลงเชื่อ แล้วใช้เล่ห์ลวงให้โอนเงินให้อีกด้วย ตำรวจจึงได้ทำการตรวจยึดไว้ทำการตรวจสอบอย่างละเอียดอีกครั้ง
นอกจากนี้ สิ่งน่าประหลาดใจ ในการเข้าตรวจสอบในครั้งนี้ พบว่า มีคนจีนหนึ่งเดียว อยู่รวมกลุ่มของชาวเกาหลีใต้ และ กำลังทำงานอะไรบางอย่าง ซึ่งอุปกรณ์ที่พบ ค่อนข้างจะเข้าข่ายเกี่ยวกับเรื่องแก๊งคอลเซ็นเตอร์ แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น ต้องรอผลการตรวจสอบข้อมูลในคอมพิวเตอร์ทั้งหมดก่อน จึงจะสามารถชี้ได้ว่า กลุ่มชาวเกาหลีใต้ และ คนจีน ทำงานเกี่ยวกับอะไรกันแน่
แต่คำกล่าวอ้างในเบื้องต้น บอกเพียงทำธุรกิจเกี่ยวกับเงินกู้ในประเทศเกาหลี ส่วนอย่างอื่นชาวเกาหลียังคงปิดปากเงียบ และ ไม่ยอมให้การใดๆที่เป็นประโยชน์ต่อรูปคดี
ส่วนการแจ้งข้อกล่าวหา ตำรวจเตรียมเอาผิด เกี่ยวกับ พรบ. ร่วมกันลักลอบทำงานในประเทศไทยโดยผิดกฎหมาย ส่วนเรื่องของการตรวจสอบ หนังสือเดินทาง รวมถึงวีซ่า พบว่าทั้งหมด ถือวีซ่านักท่องเที่ยว และยังไม่พบว่ามีผู้ใด มีสถานะ โอเวอร์สเตย์ อีกทั้งยังพบว่ามีบุคคลเกาหลี 2 คน เป็นบุคคลต่างด้าวหลบหนีเข้าราชอาณาจักรไทยโดยผิดกฎหมาย ส่วนข้อกล่าวหา อั้งยี่ ขอกลับไปสืบสวนสอบสวนเพิ่มเติม ว่าเข้าข่ายกระทำความผิดในข้อหานี้หรือไม่ เนื่องจากข้อหานี้จะต้องมีการทำข้อมูลรายงานการสืบสวน ประกอบสำนวนคดี
ขณะเดียวกันจากแนวทางการสืบสวนสอบสวน ในเบื้องต้น พบว่ากลุ่มดังกล่าว สันนิษฐานว่า น่าจะเพิ่งย้ายฐานมาจากที่อื่น และอาจเป็นไปได้ว่าน่าจะย้ายมาจากเขตชายแดนกัมพูชา หลังจากที่ถูกรัฐบาลไทยกดดันอย่างหนัก จนมาสร้างฐานในประเทศไทย แต่อย่างไรก็ตาม ตำรวจท่องเที่ยวอยู่ในระหว่างการรวบรวมพยานหลักฐาน รวมถึงการนำของกลางทั้งหมดไปตรวจสอบเพื่อขยายผลเพิ่มเติม เพื่อใช้ในการเอาผิด กลุ่มชาวเกาหลี และ คนจีน กลุ่มนี้
ผู้สื่อข่าว รายงานว่า การจับกุมชาวเกาหลี ของตำรวจท่องเที่ยว ถือเป็นการจับกุมชาวเกาหลีครั้งใหญ่ในรอบหลายปีที่ผ่านมา ซึ่งเรื่องราวทั้งหมดเริ่มต้นมาจาก มีพ่อชาวเกาหลีใต้ เป็นห่วงลูกชาย ซึ่งโทรศัพท์ไปบอกพ่อว่าถูกหลอกมาทำงานกับแก๊งค์คอลเซ็นเตอร์ในประเทศไทย และเหมือนว่าจะบังคับให้พ่อโอนเงินมาให้ แต่พ่อกลัวถูกหลอก จึงรีบประสานสถานทูตเกาหลี เพื่อขอความช่วยเหลือกับทางการไทย จนเป็นที่มาของการบุกเข้าจับกุมในครั้งนี้ และที่สำคัญ ลูกชาย ที่พ่อชาวเกาหลี ขอให้ทางการไทยช่วยเหลือ ก็นั่งทำงานอยู่ในบ้านพูล วิลล่า หลังดังกล่าวด้วย