โลกจับตานโยบาย 'ทรัมป์' หลังกลับมารับตำแหน่ง ปธน.สหรัฐฯคนที่ 47
โลกจับตานโยบาย 'ทรัมป์' หลังกลับมารับตำแหน่ง ปธน.สหรัฐฯคนที่ 47
นานาชาติเตรียมรับมือ 'รัฐบาลใหม่สหรัฐฯ กับการหวนสู่อำนาจของ 'โดนัลด์ ทรัมป์' พร้อมเดินหน้านโยบายแข็งกร้าว "อเมริกาต้องมาก่อน"
(7 พ.ย.67) เมื่อวันที่ 5 พฤศจิกายน 67 ที่ผ่านมา(เวลาท้องถิ่นสหรัฐฯ) เสียงส่วนใหญ่ของประชาชนชาวอเมริกันลงคะแนนเลือกตั้งปี 2024 ให้ 'โดนัลด์ ทรัมป์' ในวัย 78 ปี ตัวแทนจากพรรครีพับลิกันเป็นประธานาธิบดีสหรัฐฯ คนที่ 47 ดำรงตำแหน่งผู้นำประเทศเป็นสมัยที่ 2 ต่อจากสมัยแรกก่อนหน้าประธานาธิบดี 'ไบเดน'
โดย 'ทรัมป์' ได้รับคะแนนเสียงอย่างล้นหลามจากรัฐสำคัญหลายรัฐ โดยเฉพาะรัฐสมรภูมิ(Swing States) เช่น เพนซิลเวเนีย นอร์ทแคโรไลนา และจอร์เจีย สร้างประวัติศาสตร์ หวนคืนสู่เก้าอี้ประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกาแห่งทำเนียบขาวอีกครั้ง จากการคว้าชัยชนะเหนือ "คามาลา แฮร์ริส" คู่แข่งหญิงจากพรรคเดโมแครต ที่มีการคาดกันไว้ว่า เธออาจจะได้รับเลือกขึ้นดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีหญิงคนแรกในประวัติศาสตร์ของประเทศ
หลังทราบผลเลือกตั้ง 'ทรัมป์' ได้ประกาศทันทีว่าจะนำพาประเทศเดินหน้าเข้าสู่ "ยุคทอง" อย่างที่ได้เคยปราศรัยหาเสียงไว้ ด้วยการเน้นนโยบาย "อเมริกาต้องมาก่อน" ที่เคยใช้ในสมัยแรกของเขา
'ทรัมป์' เตรียมผลักดันนโยบายสำคัญหลังชนะเลือกตั้ง ปี 2024 โดย เริ่มจากการควบคุมการเข้าเมืองผ่านแผน 'เนรเทศ' ครั้งใหญ่ และเดินหน้าต่อในโครงการสร้างกำแพงชายแดนทางรัฐตอนใต้ของประเทศให้เสร็จสมบูรณ์ หลังจากที่มีการระงับไปในสมัยประธานาธิบดี 'ไบเดน'
'ทรัมป์' ยืนยันในระหว่างหาเสียงว่าจะเริ่มฟื้นฟูเศรษฐกิจภาพรวมทันที โดยการผลิตพลังงานในประเทศและลดการใช้จ่ายของรัฐบาล เพื่อควบคุมเงินเฟ้อ นอกจากนี้เขายังมีแผนปฏิรูปการดูแลสุขภาพ เพิ่มงบประมาณด้านการทหาร เสริมสร้างความมั่นคงแห่งชาติ และลดภาษีเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ
การกลับมาของ 'ทรัมป์' ครั้งนี้จึงนับเป็นการเผชิญความท้าทายครั้งสำคัญในเส้นทางการนำพาประเทศออกจากวิกฤติทางเศรษฐกิจ ด้วยนโยบายหลักของรัฐบาลทรัมป์ มีดังนี้:
-การควบคุมการเข้าเมือง
-การฟื้นฟูเศรษฐกิจ
-การปฏิรูปการศึกษา
-การปฏิรูปการดูแลสุขภาพ
-การเสริมสร้างความมั่นคงแห่งชาติ
-การปฏิรูปภาษี
การดำเนินนโยบายเหล่านี้จะเป็นการทดสอบความสามารถของทรัมป์ในการนำพาประเทศไปสู่ความสำเร็จในยุคใหม่
นโยบายหลักที่ทรัมป์จะเริ่มทำอันดับแรก ได้แก่:
การควบคุมการเข้าเมือง: ทรัมป์วางแผนที่จะดำเนินการเนรเทศครั้งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์สหรัฐฯ และสร้างกำแพงชายแดนให้เสร็จสมบูรณ์ เขายังมีแผนที่จะเพิ่มการตรวจสอบและควบคุมการเข้าเมืองอย่างเข้มงวด เพื่อป้องกันการเข้าเมืองผิดกฎหมายและเสริมสร้างความมั่นคงของประเทศ
การฟื้นฟูเศรษฐกิจ: ทรัมป์จะเน้นการผลิตพลังงานในประเทศและลดการใช้จ่ายของรัฐบาล เพื่อควบคุมเงินเฟ้อ เขามีแผนที่จะลดภาษีสำหรับธุรกิจและบุคคลทั่วไป เพื่อกระตุ้นการเติบโตทางเศรษฐกิจ และสร้างงานใหม่ให้กับชาวอเมริกัน
การปฏิรูปการศึกษา: ทรัมป์มีแผนที่จะเปลี่ยนแปลงระบบการศึกษา โดยเน้นการป้องกันการสอนเรื่องเพศและการส่งเสริมการศึกษาแบบอนุรักษ์นิยม เขาต้องการให้โรงเรียนมีการสอนที่เน้นคุณค่าทางศีลธรรมและจริยธรรม และลดการแทรกแซงจากรัฐบาลกลางในระบบการศึกษา
การปฏิรูปการดูแลสุขภาพ: ทรัมป์ต้องการลดค่าใช้จ่ายด้านสุขภาพและเพิ่มการเข้าถึงบริการสุขภาพสำหรับชาวอเมริกันทุกคน โดยมีแผนที่จะยกเลิกและแทนที่ 'โอบามาแคร์ ' ด้วยระบบที่มีประสิทธิภาพและคุ้มค่ามากขึ้น
การเสริมสร้างความมั่นคงแห่งชาติ: ทรัมป์จะเพิ่มงบประมาณทางทหารและเสริมสร้างความสัมพันธ์กับพันธมิตรเพื่อป้องกันภัยคุกคามจากต่างประเทศ เขายังมีแผนที่จะเพิ่มการลงทุนในเทคโนโลยีทางทหารและการป้องกันอาชญากรรมทางไซเบอร์
การปฏิรูปภาษี: ทรัมป์มีแผนที่จะลดภาษีสำหรับธุรกิจและบุคคลทั่วไป เพื่อกระตุ้นการเติบโตทางเศรษฐกิจ ทรัมป์ต้องการให้ระบบภาษีมีความยุติธรรมและโปร่งใสมากขึ้น และลดภาระภาษีสำหรับครอบครัวชนชั้นกลาง
นโยบายด้านต่างประเทศของ 'โดนัลด์ ทรัมป์' ในปี 2024 โดยเฉพาะต่อประเทศจีน แสดงให้เห็นถึงความตึงเครียดที่อาจเกิดขึ้นในหลายด้าน
การค้า: ทรัมป์มีแผนที่จะกำหนดภาษี 60% สำหรับสินค้านำเข้าจากจีน ซึ่งจะส่งผลกระทบอย่างมากต่อเศรษฐกิจจีนที่กำลังเผชิญกับปัญหาการว่างงานของเยาวชนและหนี้สินของรัฐบาล ภาษีนี้อาจทำให้การเติบโตทางเศรษฐกิจของจีนลดลงถึง 2.5%
เทคโนโลยี: ทรัมป์มีแนวโน้มที่จะดำเนินนโยบายที่เข้มงวดต่อบริษัทเทคโนโลยีของจีน เช่น ห้ามไม่ให้บริษัทโทรคมนาคมของจีนทำธุรกิจในสหรัฐฯ และกำหนดมาตรการคว่ำบาตรต่อเจ้าหน้าที่จีนที่เกี่ยวข้องกับการละเมิดสิทธิมนุษยชน
ไต้หวัน: ทรัมป์อาจเพิ่มการสนับสนุนไต้หวัน ซึ่งจะทำให้ความสัมพันธ์ระหว่างสหรัฐฯ และจีนตึงเครียดมากขึ้น การสนับสนุนนี้อาจรวมถึงการขายอาวุธและการสนับสนุนทางการทูต
การเจรจาทางการทูต: ทรัมป์อาจใช้ภาษีเป็นเครื่องมือในการบังคับให้จีนกลับมาเจรจา โดยเฉพาะในเรื่องการปรับปรุงสิทธิบัตรและการซื้อสินค้าจากสหรัฐฯ. นอกจากนี้ เขาอาจขอความช่วยเหลือจากจีนในการแก้ไขปัญหาวิกฤตโลก เช่น สงครามในยูเครน
นโยบายเหล่านี้แสดงให้เห็นถึงความตั้งใจของทรัมป์ที่จะใช้มาตรการที่เข้มงวดและกดดันจีน เพื่อให้ได้ผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจและการเมืองสำหรับสหรัฐฯ อย่างไรก็ตามการดำเนินนโยบายเหล่านี้ อาจทำให้ความสัมพันธ์ระหว่างสองประเทศตึงเครียดมากขึ้นและส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจโลกโดยรวม