รัฐบาลจีนป้องไทย สหรัฐฯ แทรกแซงการส่งกลับผู้ลี้ภัยอุยกูร์ไม่ได้

(18 มี.ค. 68) จากกรณีที่กระทรวงการต่างประเทศสหรัฐอเมริกา นำโดยนายมาร์โก รูบิโอ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ใช้มาตรการทางวีซ่าเพื่อตอบโต้กรณีที่รัฐบาลไทยผลักดันผู้ลี้ภัยชาวอุยกูร์กลับประเทศจีน โดยประกาศระงับวีซ่าสหรัฐฯ ของเจ้าหน้าที่ในรัฐบาลที่เกี่ยวข้อง

ล่าสุด เหมา หนิง โฆษกกระทรวงการต่างประเทศของจีนได้ออกมาตอบคำถามสื่อมวลชนถึงกรณีดังกล่าวเมื่อวันจันทร์ที่ผ่านมา(17 มี.ค.) โดยระบุว่า การที่จีนและไทยทำงานร่วมกันในฐานะสองชาติอธิปไตยเพื่อปราบปรามการลักลอบขนคนเข้าเมืองและอาชญากรรมข้ามชาติอื่นๆ เป็นไปตามกฎหมายภายในประเทศของทั้งสองประเทศ ตลอดจนกฎหมายระหว่างประเทศและแนวปฏิบัติทั่วไป สหรัฐอเมริกาไม่มีสิทธิ์ที่จะแทรกแซงความร่วมมือดังกล่าว

พร้อมทั้งย้ำว่าชาวอุยกูร์ทั้ง 40 คน ที่ถูกส่งตัวกลับนั้นเป็นผู้ลักลอบหนีข้ามแดน และถูกจับกุมคุมขังไว้เป็นเวลากว่า 10 ปี นี่เป็นภาระผูกพันและความรับผิดชอบของรัฐบาลจีน ในการปกป้องพลเมืองของตนและช่วยให้พวกเขากลับมาอยู่กับครอบครัว และได้ใช้ชีวิตตามปกติ

โฆษก กต.จีน ระบุอีกว่าการหยิบประเด็นนี้ขึ้นมาเป็นประเด็นทางการเมืองของสหรัฐฯ นั้นเป็นเรื่องสองมาตรฐาน และพยายามที่จะกดขี่ชาติอื่น พร้อมเสริมว่าสำนักงานตรวจคนเข้าเมืองและศุลกากรสหรัฐฯ (ICE) รายงานการเนรเทศผู้อพยพกว่า 270,000 คน ในช่วงปีงบประมาณ 2024 ซึ่งถือเป็นระดับการเนรเทศสูงสุดนับตั้งแต่ปี 2014

สหรัฐอเมริกาในด้านหนึ่งดำเนินการเนรเทศผู้อพยพผิดกฎหมายโดยไม่เลือกหน้า แต่อีกด้านหนึ่งกลับชี้หน้าและใส่ร้ายความร่วมมือด้านการบังคับใช้กฎหมายที่ถูกต้องตามกฎหมายของประเทศอื่น และใช้มาตรการคว่ำบาตรและกดดันผู้อื่น “นี่คือการกลั่นแกล้งอย่างแท้จริง”

ทางการจีนขอประณามอย่างรุนแรงต่อการใส่ร้ายป้ายสีและการคว่ำบาตรที่ผิดกฎหมายทั้งหมดต่อจีนและไทย และขอคัดค้านอย่างหนักแน่นต่อการที่สหรัฐอเมริกาบิดเบือนประเด็นที่เกี่ยวข้องกับซินเจียงภายใต้ข้ออ้างเรื่องสิทธิมนุษยชน แทรกแซงกิจการภายในประเทศของจีน และขัดขวางความร่วมมือด้านการบังคับใช้กฎหมายตามปกติระหว่างจีนและประเทศที่เกี่ยวข้อง

“จีนจะยังคงเสริมสร้างการสื่อสารและการประสานงานกับประเทศที่เกี่ยวข้องบนพื้นฐานของการเคารพซึ่งกันและกันและการปรึกษาหารืออย่างเท่าเทียม ปกป้องสิทธิและผลประโยชน์ที่ชอบด้วยกฎหมายของพลเมืองจีน และทำงานเพื่อความร่วมมือด้านการบังคับใช้กฎหมายระหว่างประเทศที่แข็งแกร่งยิ่งขึ้น” โฆษกเหมา หนิง กล่าว

(Photo by Pedro Pardo / AFP)