อธิการบดีหอการค้า ชี้เงินหมื่นเฟส 3 ไม่ช่วย แนะรอบหน้าใช้หลักคูณ 2
อธิการบดีหอการค้า ชี้เงินหมื่นเฟส 3 ไม่ช่วย แนะรอบหน้าใช้หลักคูณ 2

อธิการบดี ม.หอการค้า ชี้เศรษฐกิจไทยซบเซา เงินหมื่น เฟส 3 ไม่ช่วย แนะรอบหน้าใช้หลัก “คูณ 2” กระตุ้นเศรษฐกิจ ปรับโครงสร้าง ย้ำ! ขอรัฐคำนึงใช้ภาษีให้คุ้มค่า
(14 มี.ค. 68) หลังรัฐบาลประกาศเดินหน้าโครงการดิจิทัลวอลเล็ตเฟส 3 แจก 10,000 บาทให้กับกลุ่มคนอายุ 16-20 ปี ซึ่งจะแจกเงินให้กับประชาชนกลุ่มนี้ จำนวน 2.7 ล้านคน รศ.ดร.ธนวรรธน์ พลวิชัย อธิการบดีมหาวิทยาลัยหอการค้าไทย ให้ความเห็นว่า หากต้องการกระตุ้นเศรษฐกิจให้ฟื้นตัวรวดเร็วและมีการเติบโตที่ชัดเจน จำเป็นต้องใช้เม็ดเงินจำนวนมาก ในรอบแรกของแจกเงินหมื่นเฟสแรก รัฐบาลได้อัดฉีดเงิน 1.45 แสนล้านบาทในช่วงเดือนพฤศจิกายน-ธันวาคมที่ผ่านมา แต่เศรษฐกิจไทยไตรมาสที่ 4 เติบโตเพียง 3.2% ต่ำกว่าที่หลายฝ่ายคาดการณ์ไว้ที่ 3.5-4% สะท้อนให้เห็นว่าเศรษฐกิจยังอยู่ในภาวะซบเซาและฟื้นตัวได้ช้า
สำหรับมาตรการเฟส 3 ที่จะแจกเงินในครั้งนี้ รัฐเตรียมใช้เงินประมาณ 30,000 ล้านบาท มองว่าเป็นวงเงินที่น้อยเกินไปเมื่อเทียบกับความจำเป็นในการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ โดยอาจกระตุ้น GDP ให้ขยายตัวได้เพียง 0.1-0.15% เท่านั้น นอกจากนี้ยังมีข้อสังเกตว่าผู้ได้รับเงินส่วนใหญ่จะอยู่ในช่วงอายุ 16-20 ปี ซึ่งพฤติกรรมการใช้จ่ายของกลุ่มนี้มีแนวโน้มเน้นไปที่สินค้าและบริการเฉพาะกลุ่ม แตกต่างจากกลุ่มประชาชนในช่วงอายุ 16-60 ปี ที่สามารถกระจายการใช้จ่ายได้มากกว่า
ตนมองว่ามาตรการดังกล่าวอาจไม่ได้ส่งผลเชิงบวกต่อเศรษฐกิจมากนัก แต่จะเป็น Sandbox เพื่อทดสอบประสิทธิภาพของการใช้เงินดิจิทัลว่ามีข้อจำกัดและประโยชน์อย่างไร ภายใต้เงื่อนไขของตลาดหุ้นที่ยังอยู่ในระดับต่ำกว่า 1,200 จุด และความไม่แน่นอนของปัจจัยภายนอก เช่น นโยบายเศรษฐกิจโลกและสถานการณ์สงครามการค้าหรือทรัมป์ 2.0
รศ.ดร.ธนวรรธน์ มองว่า “นโยบายแจกเงินหมื่นของรัฐบาลเป็นไปตามที่หาเสียงไว้ โดยใช้รูปแบบ “เงินโอน” ซึ่งหมายถึงการนำงบประมาณของรัฐมาให้ประชาชนใช้จ่ายในวงกว้าง อย่างไรก็ตาม มองว่าการกระจายเม็ดเงินแบบแยกเฟสอาจไม่สามารถกระตุ้นเศรษฐกิจได้เต็มที่”
รศ.ดร.ธนวรรธน์ พลวิชัย แนะนำว่า ประเทศไทยต้องการมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจที่รวดเร็วและครอบคลุมมากกว่านี้ เนื่องจากแนวทาง “การทยอยแจกจ่ายเงิน” ยังไม่ได้ส่งผลกระทบเชิงบวกอย่างมีนัยสำคัญ เช่น ในเฟสที่ 1 ซึ่งใช้งบประมาณ 1.45 แสนล้านบาท และเฟสที่ 2 จำนวน 40,000 ล้านบาท เศรษฐกิจไทยยังคงฟื้นตัวช้า ภาคธุรกิจและประชาชนยังไม่รู้สึกถึงผลกระทบเชิงบวกอย่างชัดเจน เสนอว่าหากรัฐบาลสามารถรวมงบประมาณของทั้ง 3 เฟสมาใช้พร้อมกัน จะส่งผลดีต่อเศรษฐกิจมากกว่า เนื่องจากประชาชนทุกช่วงวัย ตั้งแต่ 16-60 ปีขึ้นไป จะได้รับเงินพร้อมกัน ทำให้เกิดการใช้จ่ายอย่างทั่วถึงและช่วยหมุนเวียนเงินในระบบเศรษฐกิจทั่วประเทศ
อย่างไรก็ตาม หากรัฐบาลมีข้อจำกัดในการรวมเฟส จำเป็นต้องวางแผนให้การใช้เงินมีประสิทธิภาพสูงสุด เช่น กำหนดพื้นที่และร้านค้า เพื่อให้เงินหมุนเวียนอยู่ในพื้นที่ และช่วยสนับสนุนธุรกิจท้องถิ่น และ กำหนดประเภทสินค้า โดยเฉพาะสินค้าที่ใช้วัตถุดิบในประเทศ เพื่อป้องกันการไหลออกของเงินไปยังสินค้านำเข้า เช่น สุราต่างประเทศ
รศ.ดร.ธนวรรธน์ ได้เสนอแนวทางที่เสนอโดยภาคเอกชน คือ มาตรการ “คูณ 2” โดยให้รัฐบาลอัดฉีดงบประมาณ 100,000 ล้านบาท และกำหนดให้ประชาชนต้องใช้เงินของตัวเองอีก 100,000 ล้านบาท ซึ่งจะทำให้เกิดเม็ดเงินหมุนเวียนในระบบถึง 200,000 ล้านบาทภายใน 3-6 เดือน และช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจได้ดีกว่าการแจกเงินเพียงอย่างเดียว
นอกจากนี้ เสนอให้รัฐบาลพิจารณานำงบประมาณไปใช้ในโครงการที่ช่วยสร้างการจ้างงาน เช่น การลงทุนในโครงสร้างพื้นฐาน ซึ่งจะส่งผลดีต่อเศรษฐกิจในระยะยาวมากกว่า
รศ.ดร.ธนวรรธน์ กล่าวเพิ่มเติมว่า ปัจจุบัน เศรษฐกิจไทยยังคงอยู่ในภาวะซึมตัวสูง คาดการณ์ว่าปีนี้ GDP อาจเติบโตเพียง 2.5-2.8% ซึ่งต่ำกว่าที่รัฐบาลตั้งเป้าไว้ที่ 3-3.5% ดังนั้น การใช้งบประมาณต้องมีความรอบคอบและคำนึงถึงประสิทธิภาพสูงสุด หากรัฐบาลยังเลือกใช้นโยบายเงินโอน ก็ควรรวมเฟสเพื่อให้เกิดผลกระทบทางเศรษฐกิจสูงสุด แต่หากจำเป็นต้องแยกเฟส ก็ควรมีมาตรการเสริม เช่น การกำหนดร้านค้าและประเภทสินค้าให้ชัดเจน หรือพิจารณาแนวทาง “คูณ 2” เพื่อเพิ่มมูลค่าการกระตุ้นเศรษฐกิจ
จากการดำเนินนโยบายแจกเงินผ่าน 2 เฟสที่ผ่านมา ได้แก่ เฟสแรก 1.45 แสนล้านบาทสำหรับกลุ่มเปราะบาง และเฟสที่สอง 40,000 ล้านบาทสำหรับผู้สูงอายุ แม้มาตรการนี้จะช่วยบรรเทาความเดือดร้อนของประชาชนบางกลุ่มได้ แต่ยังไม่เห็นผลชัดเจนต่อการกระตุ้นเศรษฐกิจโดยรวม
“เมื่อเศรษฐกิจไทยยังคงอยู่ในภาวะซึมตัว การตัดสินใจใช้งบประมาณที่เหลืออยู่ต้องคำนึงถึงประสิทธิภาพสูงสุด บางฝ่ายเสนอว่าควรนำเงินไปลงทุนในโครงการที่สร้างการจ้างงานและส่งเสริมการเติบโตระยะยาว มากกว่าการแจกเงินโดยตรง
หากยังคงใช้มาตรการแจกเงินต่อไป ก็ควรมีการชี้แจงต่อประชาชนที่ยังไม่ได้รับเงิน ว่าเม็ดเงินที่เหลืออาจถูกนำไปใช้เพื่อสร้างการเติบโตทางเศรษฐกิจในระยะยาวแทน ซึ่งเป็นทางเลือกที่ส่งผลดีต่อประเทศมากกว่า”
รศ.ดร.ธนวรรธน์ กล่าวว่า คาดการณ์เศรษฐกิจในปีที่ผ่านมาจะตั้งเป้าโต 3.5-4% แต่ในความเป็นจริง GDP ไทยเติบโตเพียง 2.5% และไตรมาสที่4 โตเพียง 3.2% ต่ำกว่าเป้า ส่งผลให้ธนาคารแห่งประเทศไทยต้องปรับลดดอกเบี้ยเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ
ในปีนี้ เศรษฐกิจไทยยังเผชิญปัจจัยเสี่ยงหลายด้าน ตลาดหุ้นที่ลดต่ำกว่า 1,200 จุด และราคาสินค้าเกษตรตกต่ำ โดยเฉพาะข้าวที่ราคาลดลงจากตันละ 10,000 บาท เหลือเพียง 8,400 บาท ส่งผลกระทบโดยตรงต่อกำลังซื้อของเกษตรกร ซึ่งเป็นกลุ่มสำคัญในระบบเศรษฐกิจ
หากรัฐบาลยังคงใช้นโยบายแจกเงิน ควรรวมเงินจากทุกเฟสเป็นก้อนเดียว เพื่อให้เกิดผลกระทบทางเศรษฐกิจที่ชัดเจนมากกว่าการทยอยแจก ควรกำหนดให้เงินหมุนเวียนในธุรกิจท้องถิ่นและใช้เฉพาะสินค้าที่ผลิตในประเทศ เพื่อลดการไหลออกของเงินไปต่างประเทศ แทนที่จะใช้เงินโอนโดยตรง รัฐบาลอาจพิจารณานโยบายที่ช่วยสร้างงานและกระตุ้นการใช้จ่ายผ่านการลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน การใช้เงินของรัฐเป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับทั้งการตัดสินด้วยหลักของการเมืองเศรษฐศาสตร์ หรือตัดสินใจร่วมกันด้วย
TAGS:
ข่าวที่เกี่ยวข้อง

ผู้ประกอบการรถขนส่งสินค้าพื้นที่ภาคอีสานโอด เจอพิษเศรษฐกิจกระทบ งานจ้างลดฮวบ จำนวนรถที่เคยรับงานลดไป 40% หรือกว่า 8,000 คัน
