ครึ่งปี คดีไม่คืบ! รอง ผอ.ขับรถทับเด็ก 14 เสียชีวิต แม่ร้องสื่อฯช่วย
ครึ่งปี คดีไม่คืบ! รอง ผอ.ขับรถทับเด็ก 14 เสียชีวิต แม่ร้องสื่อฯช่วย

รอง ผอ.ขับรถทับเด็ก 14 เสียชีวิต แม่ร้องสื่อฯช่วย ผ่านมาครึ่งปี คดีไม่มีความคืบหน้า
(18 พ.ค.68) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า แม่เด็กชายวัย 14 ปี ร้องสื่อมวลชน กรณี ลูกชายเกิดอุบัติเหตุรถแฉลบล้ม แต่ถูกรถของรองผู้อำนวยการโรงเรียนของรัฐแห่งหนึ่ง วิ่งสวนทางมาทับร่างซ้ำจนลูกเสียชีวิต ก่อนที่จะขับรถหนี ไม่แม้แต่จะมาร่วมงานศพ หรือติดต่อขอขมา โดยเวลาผ่านมา 6 เดือนแล้ว แต่คดีไม่มีความคืบหน้า ตำรวจเจ้าของคดีที่ สภ.หางดง จ.เชียงใหม่ บอกว่า คู่กรณีไม่ว่าง ทนายความไปตามคดีที่อัยการจังหวัด ก็พบว่า ยังไม่มีสำนวนคดีนี้เข้ามา ซึ่งคู่กรณีเป็นข้าราชการระดับสูง กลัวว่าจะไม่ได้รับความเป็นธรรม ซึ่งลูกชายที่เสียชีวิต เป็นเด็กยอดกตัญญู เป็นนักเรียนดีเด่น ผลการเรียนดี และเป็นนักกิจกรรม เลิกเรียนต้องมาช่วยแม่ขายของหาเงินเรียนด้วย
โดย น.ส.สุดใจ (สงวนนามสกุล) อายุ 38 ปี ตัดสินใจปรึกษาทนายความ และขอเข้าร้องเรียนผ่านทางสื่อมวลชนที่ จ.เชียงใหม่ และเปิดเผยว่า ก่อนหน้านี้เคยถูกขู่จากทางเจ้าหน้าที่ตำรวจเจ้าของคดี ว่าห้ามนำเรื่องไปร้องเรียนผ่านทางสื่อฯ และขอเวลาให้เจ้าหน้าที่ตำรวจได้ทำงาน แต่เวลาผ่านไปนานกว่า 6 เดือนแล้ว ที่ลูกชายวัย 14 ปี คือ ด.ช.ภูมิพัฒน์ หรือ น้องไทเกอร์ (สงวนนามสกุล) เสียชีวิตจากอุบัติเหตุดังกล่าว เมื่อวันที่ 29 พฤศจิกายน 2567 เวลาประมาณ 16.30 น. ขณะขี่รถจักรยานยนต์กลับจากโรงเรียน ในพื้นที่ อ.หางดง จ.เชียงใหม่ เพื่อกลับบ้านและไปช่วยแม่ขายของที่ตลาด
ซึ่งระหว่างทาง มีรถเก๋ง สีขาว จอดขวางช่องทางจราจรอยู่ ประกอบกับมีรถวิ่งสวนทางมา ทำให้เสียหลักไปเฉี่ยวกับรถเก๋งที่จอดอยู่และล้มลง จากนั้น มีรถยนต์ สีดำ ที่วิ่งสวนทางมาชนซ้ำจนเสียชีวิตในที่เกิดเหตุ ภายหลังในวันบำเพ็ญกุศลศพ มีนักเรียนที่เห็นเหตุการณ์มาเล่าให้ฟังว่า รถยนต์คัน สีดำ ที่ขับสวนทางมาข้ามเลนมาทับร่างน้องไทเกอร์ ทางครอบครัวต้องเร่งหาหลักฐานผ่านโลกโซเชียลฯ จนได้คลิปจากกล้องหน้ารถ และกล้องวงจรปิดจากบ้านของชาวบ้าน แม้ไม่สามารถบันทึกช่วงเกิดเหตุได้ครบ แต่กล้องหน้ารถที่ขับตามรถคันก่อเหตุ สามารถบันทึกภาพช่วงที่น้องเสียชีวิตแล้ว
ส่วนกล้องวงจรปิดในบ้านจับภาพขณะเกิดเสียงดัง ซึ่งมีสุนัขและคนในบ้านวิ่งออกมาดู หลักฐานชี้ชัดถึงทะเบียนและเจ้าของรถ จนทราบว่า ผู้ขับขี่คือ รองผู้อำนวยการโรงเรียนแห่งหนึ่ง ใน อ.สันทราย จ.เชียงใหม่ ขณะเกิดเหตุไม่ได้จอดดู แต่กลับขับรถหนีไป
ต่อมา วันที่ 30 พฤศจิกายน 2567 หลังเกิดเหตุ 1 วัน เจ้าของรถเดินทางมาแสดงตัวที่ สภ.หางดง เจ้าหน้าที่จึงเรียกแม่ของน้องเข้าให้ปากคำและร่วมฟังคำให้การ โดยรอง ผอ.คนดังกล่าวอ้างว่า ไม่ได้ทับร่างของน้อง แต่ยอมรับว่ารถชนจริง โดยชนที่ล้อรถเท่านั้น ทั้งยังอ้างว่า กล้องหน้ารถเสีย แต่พบว่าหลังเหตุการณ์ กล้องสามารถบันทึกภาพได้ ซึ่งครอบครัวไม่เชื่อ เพราะมีพยานเห็นเหตุการณ์ อีกทั้งผลชันสูตรพบว่า น้องได้รับบาดเจ็บภายในอย่างรุนแรง ทรวงอกช้ำ กระดูกทรวงอกและศีรษะแตก ซึ่งไม่น่าจะเกิดจากการล้มจักรยานยนต์ธรรมดา เพราะถนนสายรอง ไม่น่าจะขี่เร็วได้
ตลอด 6 เดือนที่ผ่านมา คดีความยังไม่มีความคืบหน้า ฝ่ายผู้เสียหายไม่ทราบว่ามีการแจ้งข้อกล่าวหาอย่างไร หรือมีการส่งฟ้องหรือไม่ แม้จะไปติดตามคดีตลอด กลับได้รับคำตอบว่า "ยังทำสำนวนไม่เสร็จ" หรือ "สอบสวนยังไม่แล้วเสร็จ" และขอให้เวลาเจ้าหน้าที่ตำรวจในการทำงาน และประมาณ 2 เดือนก่อน ครอบครัวเห็นว่า ไม่มีความคืบหน้า ประกอบกับไม่มีความรู้ทางกฎหมาย จึงปรึกษาทนาย ซึ่งทนายได้ส่งทีมไปตรวจสอบกับตำรวจและอัยการจังหวัดเชียงใหม่ แต่เมื่อไปขอเลขสำนวน และตรวจสอบชื่อของคู่กรณีก็ไม่พบว่ามีคดีนี้ในระบบ เมื่อกลับไปถามตำรวจเจ้าของคดี ได้รับคำตอบว่าทำสำนวนแล้วเตรียมส่งฟ้อง แต่ผู้ต้องหาไม่ว่าง จึงต้องรอ และเมื่อสอบถามต่อเนื่องก็ได้รับคำตอบเดิม
นายดำรงค์ บุญประคอง ทนายความ ระบุว่า ได้ส่งทีมไปติดตามที่สำนักงานอัยการ แต่ไม่พบสำนวนความ ซึ่งผ่านมากว่า 6 เดือน ไม่น่าจะล่าช้าขนาดนี้ ล่าสุดทราบว่า ร้อยเวรเจ้าของคดีไปอบรม และจะไม่อยู่ที่ สภ.หางดง อีกประมาณ 1 เดือน ทั้งที่ครอบครัวยังไม่เคยเห็นสำนวน และรับทราบเพียงวาจาเท่านั้นว่าส่งฟ้องแล้ว
นางสาวสุดใจ แม่ของน้องไทเกอร์ ต้องการให้สื่อฯ นำเสนอเรื่องนี้ เพื่อกระตุ้นให้เจ้าหน้าที่เร่งดำเนินคดีด้วยความยุติธรรม เพราะน้องไทเกอร์เป็นความหวังของครอบครัว ก่อนหน้านี้มีลูก 2 คนกับสามีเก่า หลังแยกทางกัน เธอรับน้องไทเกอร์มาเลี้ยง ส่วนพี่ชายพ่อรับไปดูแล เธอย้ายมาอยู่เชียงใหม่ มีครอบครัวใหม่ และมีลูกสาวอีก 1 คน ครอบครัวประกอบอาชีพขายขนมและอาหารในตลาดที่ อ.หางดง
น้องไทเกอร์ เป็นเด็กกตัญญู เรียนดี ได้รับใบประกาศเกียรติคุณและทุนการศึกษา เป็นนักกิจกรรมตัวแทนของโรงเรียน น้องตั้งเป้าจะสอบเป็นนักเรียนนายร้อย เพื่อเลี้ยงดูแม่ ทุกวันหลังเลิกเรียนจะช่วยแม่ขายของ ทุกวันนี้ แม่ยังเสียใจไม่หาย คิดถึงลูก และร้องไห้ด้วยความเจ็บปวดอยู่ทุกวัน อยากให้ตำรวจเร่งดำเนินคดีให้เป็นธรรมกับน้อง เพื่อให้ดวงวิญญาณน้องได้ไปสู่สุคติ - ข่าวเวิร์คพอยท์รายงาน
TAGS:
ข่าวที่เกี่ยวข้อง

เห็นควันไกลๆ นึกว่าร้านขายไก่ย่าง ที่แท้เป็นรถเก๋งไฟไหม้ เจ้าของบอกงง ไหม้ได้ไง เพิ่งถอยมาใหม่จากลานประมูลรถมือ 2
