ญาติยืนยันตัวเจ้าของโครงกระดูกปริศนา จำยางรัดข้อมือได้

ญาติยืนยันตัวเจ้าของโครงกระดูกปริศนา จำยางรัดข้อมือได้

143021 ธ.ค. 67 20:31   |     ข่าวเวิร์คพอยท์

ญาติยืนยันตัวเจ้าของโครงกระดูกปริศนาที่พบในป่า เป็นของชายชราวัย 72 ปี แน่ จำยางรัดข้อมือกับเสื้อผ้าได้ เผยเหตุผลที่ไม่ตามหาตั้งแต่ตอนที่หายออกจากบ้าน - ตำรวจเตรียมตรวจ DNA เพิ่ม

(21 ธ.ค. 67) ความคืบหน้ากรณีคนหาของป่า พบกะโหลกศีรษะมนุษย์ และชิ้นส่วนกระดูกมนุษย์กระจัดกระจายทั่วบริเวณป่าชุมชนเชิงเขาพนมรุ้ง เขตพื้นที่ หมู่ 2 ต.ตาเป๊ก อ.เฉลิมพระเกียรติ เขตรอยต่อ ต.ประทัดบุ อ.ประโคนชัย จ.บุรีรัมย์ โดยที่ชาวบ้านในพื้นที่ไม่ทราบว่าเป็นใคร และเกรงว่าจะเป็นเหตุฆาตกรรม


ล่าสุด พ.ต.อ.วิศิษฏ์ บัวสง่าวงศ์ ผกก.สภ.เฉลิมพระเกียรติ อ.เฉลิมพระเกียรติ เปิดเผยว่าได้มี น.ส.แคล้ว, น.ส.ปนัสยา, และ นางนาฏยา เป็นเครือญาติกัน ได้มาแสดงตัวเพื่อดูที่เกิดเหตุ และได้ยืนยันจากเสื้อผ้า และยางรัดข้อมือสีดำ รวมถึงมัดฟืนที่หล่นอยู่ เป็นของนายเปล้า อายุประมาณ 72 ปี อาศัยอยู่ที่ ม.9 ต.ตาเป๊ก อ.เฉลิมพระเกียรติ จ.บุรีรัมย์ 


เบื้องต้นญาติแจ้งว่านายเปล้า เป็นบุคคลสติไม่ดี ชอบหาฟืน เดินเตร็ดเตร่ไปเรื่อย มักหายออกจากบ้านไปบ่อยครั้ง ล่าสุดญาติพบครั้งสุดท้ายเมื่อประมาณ 1 เดือนก่อน แต่ญาติไม่ได้แจ้งหาย เพราะทุกครั้งที่ได้หายไป จะมีผู้นำส่งกลับบ้านเป็นประจำ


 


ญาติเชื่อว่าโครงกระดูกดังกล่าวเป็น นายเปล้า ส่วนสาเหตุการตายญาติไม่ได้ติดใจแต่อย่างใด พนักงานสอบสวนจะได้ดำเนินการเก็บ DNA ของญาติเพื่อนำตรวจเปรียบเทียบยืนยันบุคคลต่อไป


นางยา อายุ 90 ปี เพื่อนบ้านของนายเปล้าเล่าว่า ก่อนหน้านั้นนายเปล้าเคยเป็นคนขับรถบัสโดยสารประจำทาง แต่ไม่รู้เกิดอะไรขึ้นมากลายเป็นคนเสียสติ ชอบเดินออกจากบ้าน เพื่อไปหาเก็บผักและฟืนเอามาเก็บไว้ที่บ้านประจำ เอกลักษณ์ประจำตัวคือยางรัดข้อมือสีดำ เชื่อได้ว่าโครงกระดูกนี้เป็นของนายเปล้า อย่างแน่นอน



เช่นเดียวกับน้องเอ(นามสมมติ) อายุ 14 ปี หลานผู้เสียชีวิต บอกว่าปกติตาจะออกจากบ้านเป็นประจำ แต่ไปแล้วกลับมาบ้างไม่กลับบ้าง และล่าสุดประมาณกว่า 3 สัปดาห์ที่ผ่านมา ตนเอาข้าวไปให้แล้วไม่เห็น คิดว่าเดี๋ยวคงกลับมาสุดท้ายมีคนมาให้ไปดูเห็นแล้วรู้เลยว่าเป็นตา


ขณะที่นางแคล้ว อายุ 80 ปี พี่สาวผู้ตายเล่าว่าเห็นซากทั้งยางรัดข้อมือและเสื้อผ้ารู้ทันทีว่าเป็นน้องชายตัวเอง โชคดีตำรวจหาเจอมิเช่นนั้นญาติคงไม่รู้อย่างแน่นอนว่าหายไปไหน


TAGS:

ข่าวที่เกี่ยวข้อง