ทนาย 'บอสพอล' เยี่ยม 'บอสดารา' ยันไม่ได้ประวิงเวลา
ทนาย 'บอสพอล' เยี่ยม 'บอสดารา' ยันไม่ได้ประวิงเวลา
'ทนายวิฑูรย์' ยันไม่ได้ประวิงคดีดิไอคอน เผยเตรียมแจ้งความกลับผู้ก่อตั้งเพจสายไหมต้องรอด 'พยานเท็จ'
เมื่อเวลา 11.00 น. วันที่ 31 ต.ค.67 ที่ เรือนจำพิเศษกรุงเทพ นายวิฑูรย์ เก่งงาน ทนายความของนายวรัตน์พล วรัทย์วรกุล หรือ 'บอสพอล' เดินทางเข้าเยี่ยมบอสพอล และบอสผู้ต้องหาคนอื่นๆ ภายในเรือนจำพิเศษกรุงเทพ
ทนายวิฑูรย์ กล่าวว่า วันนี้ได้นัดคุยกับทีมทนายหลายทีม เพราะเข้ามาที่เรือนจำกันหมด โดยวันนี้ตนเองจะต้องส่งมอบงานในการไปแจ้งความนักร้องสาว ก. ให้กับทนายความอีกชุดหนึ่งทำต่อ และจะพูดคุยเพื่อแบ่งงานในทีมทนายความ และจะมีการแต่งตั้งทนายความแบบไขว้กัน เพื่อให้พูดคุยกับผู้ต้องหาได้ทุกราย โดยไม่ได้แบ่งแยกลูกความว่าเป็นของทนายคนไหน แม้ในเนื้อหารายละเอียดของคดีจะแบ่งกัน แต่ภาพรวมจะต้องแต่งตั้งใช้ทนายความร่วมกันทั้งหมด โดยทนายทุกคนจะเป็นทนายให้กับผู้ต้องหา ทั้ง 18 คน เพื่อให้การทำงานคล่องตัวมากขึ้นในการต่อสู้คดีร่วมกัน
และในวันนี้จะมีการพูดคุยกับบอสดารา ทั้งบอสกันต์ บอสแซม ส่วนบอสมิน จะเป็นอีกชุดทำเพราะยังไม่ได้เข้าไปคุยในเรือนจำหญิง เพื่อวางแนวทางด้วย ส่วนการแจ้งความกลับนั้น ขณะนี้ทีมฟ้องกลับได้เข้าไปให้เซ็นต์หนังสือมอบอำนาจมาเมื่อวานนี้แล้ว
และวันนี้ตนเองได้นำเอกสารมอบอำนาจมาให้บอสพอลเซ็นต์ เพื่อมอบอำนาจให้ตนเองไปดำเนินการที่ดีเอสไอ ซึ่งหลังจากที่ตนเองได้ประชุมทีมแม่ทีมทุกสายของดิไอคอน เพื่อเตรียมนำพยานกว่า 2,000 กว่าคน เข้ามาให้ปากคำกับทางดีเอสไอ จึงต้องเข้าไปหารือกับทางดีเอสไอ ถึงศักยภาพในการสอบสวนว่าจะสามารถทำการสอบสวนได้วันละกี่คน เพื่อได้จัดสรรพยานมาให้ปากคำ และจะมาเรื่อยๆจนกว่าจะครบ 2,000 กว่าคน ซึ่งทุกคนรับปากว่าจะมาให้ปากคำแล้ว
โดยยืนยันว่า การนำพยานมาให้ปากคำ ไม่เกี่ยวกับการดึงสำนวนคดีให้ส่งไม่ทัน เพราะที่ต้องพามาให้การ เนื่องจากที่ผ่านมา ฝั่งของผู้ต้องหามีแค่พยานที่เป็นพนักงานบริษัทดิไอคอนและผู้ต้องหา 18 คน ส่วนพยานปากอื่นๆที่ทำธุรกิจกับดิไอคอน ยังไม่มีการเรียกมาสอบสวน ดังนั้น จึงมองว่ากลุ่มนี้ต้องเรียกมาสอบสวนทั้งหมด และแต่ละคนจะให้ปากคำไม่เหมือนกัน เพราะแต่ละคน จะมีรายละเอียดที่ต่างกัน ไม่มีการให้ปากคำเป็นแพทเทิลแบบฝั่งผู้เสียหายทำแน่นอน ส่วนดีเอสไอ จะรับสอบปากคำได้ทั้งหมดหรือไม่นั้น มองว่า รับไม่ได้ก็ต้องได้ เพราะดีเอสไอก็ต้องเปิดให้ผู้ต้องหาได้พิสูจน์ความบริสุทธิ์ของตัวเอง
ส่วนจะเป็นประโยชน์ต่อรูปคดีมากน้อยแค่ไหนนั้น มองว่าก็ไม่ชัวร์เหมือนกัน อาจจะไม่เป็นประโยชน์ก็ได้ อาจจะมาแทง แต่ก็เป็นความเสี่ยงที่ต้องรับ เพราะไม่สามารถควบคุมพยานทั้ง 2,000 กว่าคนได้ ทั้งนี้ กรณีแม่ข่ายบางกลุ่มถอนแจ้งความนั้น คดีเป็นคดีอาญาถอนแจ้งความไม่ได้แต่เป็นการไปแจ้งความประสงค์ไม่ติดใจดำเนินคดี แต่ตำรวจก็ต้องเดินหน้าคดีต่อ ดังนั้นก็ต้องสู้คดีฉ้อโกงประชาชนต่อ
ส่วนการที่ดีเอสไอ รับสำนวนคดีต่อจากกองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลางนั้น ก็เป็นแค่การเปลี่ยนหน่วยงาน ส่วนจะเข้าข่ายแชร์ลูกโซ่หรือไม่ ก็เป็นเรื่องของดีเอสไอ ที่ต้องหารือร่วมกับหน่วยงานอื่น หากเข้าข้อหาแชร์ลูกโซ่ ก็ยินดีต่อสู้คดี ถ้าไม่เข้าก็ไม่ต้องมีข้อหาเพิ่ม ซึ่งหากมีการตั้งข้อหาแชร์ลูกโซ่มา ทางบริษัทก็มีจะเปิดระบบให้ดู แล้วจะอธิบายข้อมูลระบบของดิไอคอนเป็นอย่างไร ซึ่งโค้ชแล็ป เปิดระบบได้และอธิบาย และบอสต่างๆ ก็สามารถอธิบายได้
และเมื่อวานนี้ที่ดีเอสไอมาเรือนจำพิเศษกรุงเทพ เป็นการมาสอบถามเรื่องของการจ่ายสินบน และได้ให้ถ้อยคำว่า ระยะเวลาที่ผ่านมาว่า มีการจ่ายสินบนหรือไม่ ไม่ได้เป็นการให้ปากคำในคดีเป็นการขอข้อมูล
ทนายวิฑูรย์ เชื่อว่า ดีเอสไอคงจะขยายเป็น 7 ฝาก 84 วัน คงอยู่ข้างในกันไปยาวๆ ส่วนจะส่งสำนวนทันหรือไม่ ตนเองไม่ทราบไม่ใช่ปัญหาตนเอง แต่จะต้องเอาพยานมาสอบให้ครบ และย้ำว่าไม่ได้เป็นการประวิงเวลา เพราะการทำคดีจะต้องสอบทั้งความผิดและความบริสุทธิ์ “ยอมเสียเวลาตอนนี้ดีกว่า ไปศาลแล้วผมเอาพยานไป 2 แสนคนทำยังไง” และเราเป็นผู้ถูกกล่าวหา กระบวนการยุติธรรมต้องทำอย่างรวดเร็ว แต่การตั้งข้อกล่าวหาค่อนข้างเร่งรัดและรีบทำให้เกิดปัญหาในสำนวน
ส่วนกรณีที่ดีเอสไอ พบข้อมูลเส้นทางการเงินว่าบอสพอลโอนเง้น 2.5 ล้านบาทให้กับแม่นักการเมือง ส. ตนเองยังไม่ได้ตรวจสอบข้อมูล แต่เท่าที่สอบถามมา ทราบว่า เป็นเงินทำบุญซะส่วนใหญ่ เป็นการทำบุญร่วมกัน ซึ่งที่ต้องโอนไปบัญชีแม่ของนักการเมือง ส. เพราะแม่เขาทำบุญทุกเดือน เป็นการโอนไปร่วมกันเฉยๆ ไม่ได้มีอะไรเป็นพิเศษ และไม่ได้เกี่ยวกับคลิปเสียง ซึ่งแม่ของนักการเมืองส. บอสพอลนับถือเป็นแม่ ลักษณะแม่ของเพื่อนที่สนิทกัน ซึ่งหากดีเออสไอติดใจเรื่องนี้ ก็สามารถมาสอบถามรายละเอียดได้ แต่โอนกี่ครั้งยังไงตนเองยังไม่เห็นหลักฐานชิ้นนี้
ทนายวิฑูรย์ กล่าวต่อว่า ส่วนการแจ้งความดำเนินคดีกับนายเอกภพ เหลืองประเสริฐ ผู้ก่อตั้งเพจสายไหมต้องรอด และพยานเท็จ ที่ได้พาพยานเท็จมาเปิดข้อมูลอ้างเรื่องการโอนเงินคริปโต ด้วยว่า วันนี้ก็จะมีการหารือกันภายในเรือนจำวันนี้ด้วย และจะแจ้งต่างกรรมกัน เพราะทราบว่า นายเอกภพไปให้ข้อมูลมาหลายที่ ทั้ง บชก. และดีเอสไอ ส่วนที่ทาง บช.ก. ก็ยังรอการแจ้งความจากทางทนายความอยู่นั้น ตนเองก็อยากจะทำให้ไว แต่ก็มีลำดับความสำคัญในการต่อสู่คดีก่อนที่จะต้องแข่งกับเวลา เพราะไม่รู้เจ้าหน้าที่จะมัดมือปิดคดีและส่งอัยการตอนไหน ดังนั้นต้องทำเรื่องคดีเพื่อเอาพยานไปให้ปากคำให้ไวที่สุดก่อนที่จะไปดำเนินคดีกับชาวบ้าน โดยยืนยันว่าที่ยังไม่ได้แจ้งความไม่ได้มีการคุยกันหลังบ้านแน่นอน
ทั้งนี้ ไม่ได้กังวลใจ หากนายเอกภพจะฟ้องกลับ พร้อมย้อนถามว่า แล้วพยานเท็จจริงหรือไม่ แล้วไปแถลงข่าวอ้างว่ามีบริทคอย 8,000 กว่าล้านนั้น แล้วบริษัทเสียหายหรือไม่ ต้องมาตอบคำถามเรื่องจ่ายสินบนหรือไม่จ่ายสินบน ซึ่งเมื่อวานนี้ดีเอสไอก็เข้ามาถามว่าถามเรื่องจ่ายสินบนด้วย แล้วก็ยังไปโยงผู้ใหญ่หลายท่านจากที่เป็นคดีปกติ ก็ไปเป็นเรื่องอิทธิพลใต้ดิน แก๊งมาเฟียจ่ายสินบนนักการเมืองกลายเป็นเรื่องอิรุงตุงนังอีก
ส่วนจะแจ้งความเมื่อไรนั้น จะคุยถึงกรอบการทำงานกับทนายความก่อน และจะต้องถอดไฟล์เสียงด้วย เนื่องจากตนเองรับมอบอำนาจมาและต้องเป็นคนให้การ ดังนั้น จึงต้องฟังเสียงเองทั้งหมด