เว็บไซต์ข่าวที่หลากหลาย เข้าใจง่าย เข้าถึงทุกคน | เวิร์คพอยท์นิวส์ 23

ข้ามไปยังเนื้อหาหลัก
เปิดคำแถลงฉบับเต็มกองทัพบกไทยต่อคณะทูตทหารและสื่อต่างชาติ

เปิดคำแถลงฉบับเต็มกองทัพบกไทยต่อคณะทูตทหารและสื่อต่างชาติ

รายงานพิเศษ 1 ส.ค. 68 192 | AdminNews

กองทัพบกไทยแถลงชี้แจงสถานการณ์ความขัดแย้งชายแดนไทย-กัมพูชา ต่อคณะทูตทหารและสื่อต่างชาติ ยืนยันฝ่ายกัมพูชาเริ่มยิงโจมตีพลเรือนก่อน ละเมิดหยุดยิงและเผยแพร่ข้อมูลบิดเบือน ขอประชาคมโลกสนับสนุนเจรจาสันติวิธีทวิภาคีเพื่อแก้ปัญหา

คำบรรยายอย่างเป็นทางการของฝ่ายไทยต่อคณะทูตทหาร และสื่อต่างประเทศ

หัวข้อ : ชี้แจงสถานการณ์ความขัดแย้งตามแนวชายแดนไทย-กัมพูชา

วันเวลา : วันศุกร์ ที่ 1 เดือน ส.ค. พ.ศ. 2568


เรียน คณะนักการทูต คณะทูตทหารประจำประเทศไทย สื่อมวลชน และแขกผู้มีเกียรติทุกท่านจากกองทัพบก กองทัพอากาศ กองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายใน กระทรวงการต่างประเทศ ตัวแทนจากกองทัพภาคที่ 2 และ ผู้ช่วยรัฐมนตรีกระทรวงการต่างประเทศ ในนามของกองทัพบก ผมขอขอบคุณทุกท่านที่ให้ความสำคัญและเข้าร่วมรับฟังคำชี้แจงอย่างเป็นทางการ


ในวันนี้ วัตถุประสงค์ของการชี้แจงคือเพื่อเปิดโอกาสให้ทุกท่านได้เห็นสภาพการณ์และสถานการณ์ในพื้นที่ปัจจุบันตลอดจนผลกระทบที่เกิดขึ้นต่อชุมชนท้องถิ่นและโครงสร้างพื้นฐานอย่างใกล้ชิดเพื่อชี้แจงข้อเท็จจริงอย่างตรงไปตรงมาเกี่ยวกับเหตุการณ์ความขัดแย้งที่เกิดขึ้นตามแนวชายแดนไทย-กัมพูชา พร้อมทั้งนำเสนอ การดำเนินงานของกองทัพ ในการรักษาอธิปไตย และยึดมั่นในหลักกฎหมายระหว่างประเทศ และย้ำถึงความมุ่งมั่งของกองทัพที่จะแก้ปัญหา ด้วยทวิภาคีที่ไทย และกัมพูชามีอยู่ ด้วยความจริงใจและโดยสันติวิธีมาโดยตลอด โดยมีหัวข้อบรรยายสรุปสาระสำคัญ ดังนี้

1. ลำเหตุการณ์และข้อเท็จจริง

2. สถานการณ์ปัจจุบัน

3. การตอบโต้การบิดเบือนข้อมูลของฝ่ายกัมพูชา

1. ลำเหตุการณ์และข้อเท็จจริง

1.1 ลำดับเหตุการณ์

ตั้งแต่ต้นปี 2568 ฝ่ายกัมพูชาดำเนินการยั่วยุ เพื่อสร้างความตึงเครียด ด้วยกิจกรรมทางทหาร และพลเรือน โดยมีลำดับเหตุการณ์ที่สำคัญ ดังนี้

- 13 ก.พ. 68 การพานักท่องเที่ยวขึ้นมาร้องเพลงปลุกใจในพื้นที่ปราสาทตาเมือนธม

- 28 ก.พ. 68 การเผาศาลาตรีมุข ซึ่งเป็นสิ่งก่อสร้างเชิงสัญลักษณ์ด้านความร่วมมือระหว่างประเทศระหว่างไทย กัมพูชา และ สปป. ลาว

- ห้วงเดือน มี.ค. ถึง เม.ย.68 ทหารกัมพูชา ตัดแปลงภูมิประเทศบริเวณแนวชายแดน เพื่อวัตถุประสงค์ทางการทหารเช่น การเสริมความแข็งแรงของที่มั่น การปรับปรุงเส้นทาง และการขยายแนวเขตคูติดต่อเพิ่มเติมเข้ามาในเขตประเทศไทย


- ห้วงเดือน เม.ย. ถึง พ.ค. 68 ฝ่าย กพช. ได้เคลื่อนย้ายกำลังพลเพิ่มเติม และอาวุธยุทโธปกรณ์เข้ามาประชิดชายแดนเพิ่มมากขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ ตามที่มีหลักฐานการพิสูจน์ทราบจากการวิเคราะห์ภาพถ่ายดาวเทียมของนักวิจัยชาวออสเตรเลีย ต่อมาฝ่าย กพช. ได้รุกล้ำเข้ามาในเขตแดนของไทย โดยเข้ามาขุดคู


28 พ.ค. กัมพูชาเริ่มเปิดฉากการยิง (Skirmish) ระหว่างหน่วยในพื้นที่ โดยฝ่ายไทยได้ตอบโต้เพื่อเป็นการป้องกันตัว บริเวณช่องบก กองทัพ และรัฐบาลไทยพยายามใช้แก้ไขปัญหาแบบทวิภาคี ซึ่งไม่เป็นผล

- ห้วงเดือน ก.ค.68 ทหารกัมพูชา ได้รุกล้ำเข้ามาลักลอบวางทุ่นระเบิดสังหารบุคคลหลายพื้นที่ ในเขตแดนไทย จนทำให้ทหารไทยที่ออก ลว. ได้รับบาดเจ็บสูญเสียขาจากทุ่นระเบิดสังหารบุคคล PMN-2 ถึง 2 ครั้งทำให้เกิดการสูญเสีย ขาขาด 2 นาย และมีบางส่วนบาดเจ็บ ซึ่งเป็นการกระทำที่ฝ่าย กพช. จงใจละเมิดหลักมนุษยธรรมอย่างร้ายแรง อีกทั้งเป็นการจงใจละเมิดอนุสัญญาออตตาวาที่ทั้งไทย และกัมพูชาให้สัตยาบรรณ นอกจากนั้น ในพื้นที่ดังกล่าว ได้ดำเนินการเก็บกู้วัตถุระเบิด ภายใต้ความร่วมมือของนานาชาติจนมีความปลอดภัยเป็นที่ประจักษ์แล้ว


สืบเนื่องจากเหตุการณ์ดังกล่าว ทางการกัมพูชาปฏิเสธความเกี่ยวข้อง อย่างไรก็ตาม มีหลักฐานอย่างชัดเจนที่สนับสนุนการกระทำดังกล่าวของกัมพูชา ในขณะเดียวกัน ฝ่าย กพช. พยายามแสดงการยั่วยุ โดยส่งทหาร กพช. ทั้งในเครื่องแบบ และนอกเครื่องแบบแสดงเป็นพลเรือน ตลอดจนจัดตั้งมวลชนชาว กพช. จากกรุงพนมเปญและใกล้เคียง เข้ามาในพื้นที่ปราสาทตาควาย ปราสาททตาเมือน และพื้นที่อื่น ๆ ตามแนวชายแดน เพื่อจัดกิจกรรมทำคอนเทนต์ แสดงออกในลักษณะยั่วยุนักท่องเที่ยวชาวไทย ประชาชนไทย และทหารไทย ในพื้นที่ จนเกิดการกระทบกระทั่งมีความเสี่ยงที่จะเกิดการปะทะกันระหว่างคนไทย และคน กพช.ในพื้นที่ปราสาทต่าง ๆ

1.2 มาตรการควบคุมชายแดน และการเปิดฉากยิงของกัมพูชา

ภายหลังจากทหารไทยเหยียบทุ่นระเบิดสังหารบุคคล PMN-2 ได้รับบาดเจ็บสูญเสียขาอีกครั้ง เป็นรายที่สอง สถานการณ์มีแนวโน้มที่จะรุนแรงขึ้น อาจทำให้ประชาชนผู้บริสุทธิ์ได้รับอันตรายจากทุ่นระเบิดสังหารบุคคลดังกล่าว ฝ่ายไทยจึงได้ใช้มาตรการควบคุมชายแตนบริเวณปราสาทตามแนวชายแดนทั้งหมด ด้วยการล้อมรั้วลวดหนาม

24 ก.ค.68 ทหารกัมพูชา เริ่มยิงใส่ทหารไทยที่ประจำ ณ ปราสาทตาเมือนธมก่อน โดยใช้ ปืนเล็กยาว, ปืนและ เครื่องยิงลูกระเบิด mortar จนนำไปสู่การปะทะกัน จากนั้น ฝ่าย กพช. ได้ยกระดับเป็นการใช้กำลังรบ และอาวุธยิงสนับสนุน ปืนใหญ่ และจรวดหลายลำกล้อง BM-21 โจมตีฝ่ายไทยตลอดแนวชายแดน จงใจยิงเป้าหมายพลเรือน ซึ่งหากจากชายแดน เกือบ 10 กม. ถึง 30 กม.

- โรงพยาบาลพนมดงรัก จ.สุรินทร์

- ปั้มน้ำมัน PTT บ้านผือ อ.กันทรลักษ์ จ.ศรีษะเกษ

- ร้านค้าสะดวกซื้อ 7-11 บ้านผือ อ.กันทรลักษ์ จ.ศีรษเกษ

- โรงเรียนในจังหวัดสุรินทร์ และศีรษเกษ

- บ้านเรือนราษฎร เช่น หมู่บ้านกรวด บ้านกุตเชียง ในพื้นที่ จ.สุรินทร์, บุรีรัมย์, ศีรษเกษ และ อุบลราชธานี

ทำให้พลเรือนบาดเจ็บ 36 ราย เสียชีวิต 15 ราย ซึ่งผู้เสียชีวิต 1 ในนั้นเป็นเด็กอายุเพียง 8 ปี และมีราษฎรต้องอพยพจำนวนมากกว่า 150,000 คน

1.3 การตอบโต้ของฝ่ายไทยภายใต้กรอบกฎหมายระหว่างประเทศ


จากเหตุการณ์ดังกล่าวฝ่ายไทยได้ดำเนินการตอบโต้ ภายใต้หลักการแห่งการป้องกันตนเอง (Right ofSelf-Defense) ตามที่บัญญัติไว้ในกฎหมายระหว่างประเทศ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง มาตรา 51 ของกฎบัตรสหประชาชาติ (Article 51 of the UN Charter) ซึ่งระบุว่า "ไม่มีบทบัญญัติใดในกฎบัตรนี้จะกระทบสิทธิของรัฐในการป้องกันตนเองโดยชอบด้วยกฎหมาย หากมีการโจมตีด้วยอาวุธเกิดขึ้นต่อรัฐนั้น"การตอบโต้ของฝ่ายไทยจึงเป็นการดำเนินการที่ชอบด้วยกฎหมาย และอยู่ภายใต้หลักความจำเป็นและความได้สัดส่วน (Necessity and Proportionality) โดยมีเป้าหมายเพียงเพื่อ ยับยั้งภัยคุกคาม ลดการสูญเสียของพลเรือน และรักษาเสถียรภาพของอธิปไตยแห่งชาติ ทั้งนี้ ฝ่ายไทยมิได้มีเจตนาที่จะรุกรานหรือกระทำการใด ๆ ที่

เกินขอบเขตการป้องกันตนเองจากการคุกคามโดยฝ่าย กพช.


ทั้งนี้ ฝ่ายไทยทำการโจมตีเป้าหมายทางทหารเท่านั้น ในขณะที่ฝ่ายกัมพูชาใช้การโจมตีแบบ indiscriminate target ทำให้เกิดการสูญเสียทางพลเรือนของฝ่ายไทย นอกจากนี้ที่ตั้งอาวุธยิงสนับสนุนในเขตชุมชนพลเรือน เสมือนเป็นใช้โล่ห์มนุษย์ ซึ่งฝ่ายไทยไม่ตอบโต้ไป

เป้าหมายดังกล่าวถือเป็นการเจตนาละเมิดกฎหมายมนุษยธรรมระหว่างประเทศและหลักสิทธิมนุษยชนอย่างร้ายแรงจนไม่สามารถให้อภัยได้ และไม่มีประเทศอารยธรรมใดในโลกที่ยอมรับการกระทำ ซึ่งไร้มนุษยธรรมในลักษณะดังกล่าว

2.สถานการณ์ปัจจุบัน กัมพูชายังคงดำเนินการทางทหาร

2.1 หลังจากมีการเจรจาข้อตกลงหยุดยิง ที่มาเลเซีย เมื่อวันที่ 28 ก.ค.68 แล้ว เวลาหลังเที่ยงคืน ฝ่ายกัมพูชาได้ละเมิดข้อตกลงการหยุดยิง ในพื้นที่ดังต่อไปนี้

(1) Chong Bok Area, Ubon Ratchathani Province

(2) Sam Tae Area, Si Sa Ket Province

(3) Pha Mor E Daeng, Si Sa Ket Province

(4) Phu Ma Khua/Khanmar Area, Si Sa Ket Province

(5) Phlan Yao Area, Si Sa Ket Province

(6) Ta Kwai Temple, Surin Province


ทั้งนี้ฝ่ายกัมพูชายังละเมิดข้อตกลงหยุดยิง จนถึงวันที่ 30 ก.ค.68 เวลา 0510 รายละเอียดตามภาพฉาย

2.2 และเมื่อวันที่ 31 ก.ค. 68 ตรวจพบทหารกัมพูชาเพิ่มเติมกำลังในพื้นที่ตลอดแนวชายแดนไทย และการใช้อากาศยานไร้คนขับของฝ่ายกัมพูชา บินตรวจการณ์ในพื้นที่ตอนในของฝ่ายไทย อย่างมีนัยยะสำคัญ

3 การตอบโต้การบิดเบือนข้อมูล: กัมพูชากล่าวหาว่า

3.1 ไทยรุกรานกัมพูชา และละเมิดกติกาสหประชาชาติ อำนาจอธิปไตย และอาณาเขตรัฐ

ข้อเท็จจริง: ประเทศไทยเป็นรัฐสมาชิกสหประชาชาติที่เคารพในกฎบัตรสหประชาชาติอย่างเคร่งครัดรวมถึงหลักการไม่ใช้กำลังในการแก้ไขข้อพิพาทระหว่างประเทศ (Article 2(4) UN Charter)

• การปฏิบัติของฝ่ายไทยเป็น การป้องกันตนเองอย่างจำเป็นและได้สัดส่วน (necessity & proportionality) ตามสิทธิที่ระบุไว้ใน Article 51 ของกฎบัตรฯ หลังจากฝ่าย กพช. ใช้อาวุธโจมตีด่านทหาร ฝ่ายปกครอง และชุมชนไทยในหลายพื้นที่มีหลักฐานชัดเจนว่ากำลังฝ่าย กพช.เคลื่อนกำลังเข้ามาในเขตแดนของไทยหลายครั้ง พร้อมใช้อาวุธโจมตี เป้าหมายของฝ่ายไทยโดยเฉพาะเป้าหมายพลเรือน เช่น โจมตี รพ.พนมดงรัก ซึ่งหากจากชายแดน 10 กม.ปั้มน้ำมันบ้านผือ ที่หากจากชายแดน 30 กม.

3.2 การใช้ระเบิดเคมี

ข้อเท็จจริง: เป็นคำกล่าวหาที่ร้ายแรง และไร้มูลความจริงโดยสิ้นเชิง ประเทศไทยเป็นภาคีของ อนุสัญญาว่าด้วยอาวุธเคมี (Chemical Weapons Convention - CWC) และปฏิบัติตามข้อกำหนดอย่างเคร่งครัด ไม่มีหน่วยใดในกองทัพไทยที่ใช้อาวุธเคมี ทั้งในแง่ยุทธวิธีหรือยุทธศาสตร์ การกล่าวหาเช่นนี้เข้าข่าย war propagandaและเป็นความพยายามบิดเบือนข้อเท็จจริงเพื่อใส่ร้าย

- กรณีภาพ "ระเบิดเคมี" ที่ฝ่ายกัมพูชาเผยแพร่ โดยรัฐบาลกัมพูชา แท้จริงคือภาพภารกิจการตับไฟ้ป่าในรัฐแคลิฟอร์เนีย สหรัฐอเมริกา ปี 2022 ซึ่งสามารถดูภาพดังกล่าวได้ผ่านทางสื่อออนไลน์

3.3 ไทยใช้เครื่องบิน F-16 และอาวุธหนักจำนวนมาก

ข้อเท็จจริง: อาวุธทั้งหมดที่ใช้ในการตอบโต้ครั้งนี้เป็นไปอย่างเหมาะสม ตามสัดส่วน โดยมีเป้าหมายเพื่อยับยั้งการรุกล้ำของกองกำลังกัมพูชา และมุ่งเป้าเฉพาะเจาะจงไปยังเป้าหมายทางทหารตามแนวชายแดนเท่านั้น การปฏิบัติการดังกล่าวมิใช่การโจมตีเชิงรุก เครื่องบิน F-16 ได้ปฏิบัติการโจมตีเป้าหมายทางทหารด้วยเหตุผลแห่งการป้องกันตนเอง ภายหลังจากที่กองกำลังกัมพูชาได้ยิงจรวด BM-21 เข้าใส่ชุมชนพลเรือนไทย โดยการสนับสนุน

ทางอากาศของเครื่องบิน F-16 มีการกำหนดเป้าหมายอย่างจำกัดและเฉพาะเจาะจง


ในทางกลับกัน เป็นฝ่ายกัมพูชาเองที่ได้จัดกำลังและใช้อาวุธ เช่น จรวด BM-21 จากพื้นที่พลเรือน โดยใช้ชุมชนเป็น "โล่มนุษย์" ซึ่งถือเป็นการละเมิดกฎหมายมนุษยธรรมระหว่างประเทศอย่างร้ายแรง นอกจากนี้เจ้าหน้าที่กัมพูชายังได้อพยพประชาชนของตนออกจากพื้นที่ชายแดนก่อนเกิดเหตุปะทะ ในขณะที่พลเรือนไทยยังคงอยู่ในที่พักอาศัย เนื่องจากไทยมิได้คาดหมายว่าจะตกเป็นเป้าหมายการโจมตีจากจรวดของกัมพูชา

3.4 ไทยใช้ระเบิด MK-84 ตกใส่บ้านเรือนของประชาชนกัมพูชาถ้อยแถลงของผู้อำนวยการใหญ่ศูนย์ปฏิบัติการทุ่นระเบิดแห่งชาติกัมพูชา (CMAC) ซึ่งกล่าวหาว่าประเทศไทยได้ทิ้งระเบิด MK-84 ในเขตกัมพูชานั้น มีลักษณะของการบิดเบือนข้อมูลอย่างชัดเจน โดยอ้างอิงภาพถ่ายเก่า

และสร้างความเชื่อมโยงที่ไม่เป็นความจริง ฝ่ายไทยปฏิเสธข้อกล่าวหาดังกล่าวโดยสิ้นเชิง ภาพวัตถุระเบิดที่ฝ่ายกัมพูชาระบุว่าเป็น MK-84 แท้จริงแล้วเป็นระเบิดตกค้างจากยุคสงครามเวียดนาม ข้อกล่าวหานี้ไม่สอดคล้องกับหลักฐานทางวิทยาศาสตร์ตามที่ปรากฏในภาพ ฝ่ายไทยขอประณามและเรียกร้องให้กัมพูชาหยุดเผยแพร่ข้อกล่าวหาอันเป็นเท็จซึ่งมีเป้าหมายเพื่อปลุกปั่นความเกลียดชัง พร้อมทั้งขอให้กัมพูชาให้ความร่วมมือกับไทยและประชาคมระหว่างประเทศในการคลี่คลายสถานการณ์ชายแดนอย่างสันติ ผ่านการเจรจาอย่างตรงไปตรงมาและความร่วมมือที่สร้างสรรค์


เมื่อวันที่ 30 กรกฎาคม 2568 ที่ผ่านมา ฝ่ายกัมพูชาได้เชิญผู้ช่วยทูตฝ่ายทหารต่างประเทศประจำกรุงพนมเปญให้ไปตรวจเยี่ยมพื้นที่ซึ่งอยู่ห่างจากแนวชายแดนประมาณ 30 กิโลเมตร อย่างไรก็ตาม ฝ่ายกัมพูชาได้เปลี่ยนแผนกระทันหันโดยนำคณะไปยังพื้นที่ช่องอานม้า ซึ่งตั้งอยู่บนแนวชายแดนและเป็นเขตสู้รบ รวมถึงเป็นพื้นที่ที่ยังมีข้อพิพาท จึงถือเป็นการละเมิดบันทึกความเข้าใจ MOU43


ท้ายที่สุด สำหรับเชลยจากฝ่ายกัมพูชา กองทัพบกไทยจะปฏิบัติต่อบุคคลเหล่านี้ในสถานะเชลยศึกตามหลักอนุสัญญาเจนีวา และจะส่งตัวคืนให้กัมพูชา 2 รายในวันนี้ ส่วนที่เหลือจะได้รับการปฏิบัติตามกฎหมายระหว่างประเทศอย่างเคร่งครัด


สรุป

กองทัพบกไทย ขอเน้นย้ำว่า การปะทะระหว่างไทย กับกัมพูชานั้น ฝ่ายกัมพูชาเป็นผู้เริ่มยิงก่อน โดยอาวุธระยะไกลยิงต่อ เป้าหมายพลเรือน และทำให้เกิดความเสียต่อชีวิตและทรัพย์สินหายของพลเรือนที่ยอมรับไม่ได้ ทั้งนี้ หลังจากที่มีการเจรจาตกลงหยุดยิงแล้วแต่ ฝ่ายกัมพูชายังละเมิดข้อตกลงหยุดยิงอย่างต่อเนื่อง ยิ่งไปกว่านั้น กัมพูชา เผยแพร่ข้อมูลข่าวสารบิดเบือนข้อมูลอย่างเป็นระบบขอให้ประชาคมระหว่างประเทศ ร่วมติดตามสถานการณ์ด้วยความเข้าใจ และร่วมกันผลักดันให้มีการเจรจาทวิภาคี เพื่อแก้ไขปัญหาด้วยสันติวิธี


ข่าวที่เกี่ยวข้อง

underline
Thailand Web Stat