เครือข่ายชาติพันธุ์-ภาคประชาชนรวมตัว ต้าน “พ.ร.ฎ.ป่าอนุรักษ์”
เครือข่ายชาติพันธุ์-ภาคประชาชนรวมตัว ต้าน “พ.ร.ฎ.ป่าอนุรักษ์”
เครือข่ายชาติพันธุ์และภาคประชาชน 47 เครือข่าย รวมตัวหน้าศาลากลางเชียงใหม่ จี้รัฐบาลหยุดดัน “พ.ร.ฎ.ป่าอนุรักษ์” เข้า ครม. - ชี้ละเมิดสิทธิมนุษยชน ทำให้ประชาชนผู้บุกเบิกกลายเป็นผู้บุกรุก
(11 พ.ย. 67) เครือข่ายกลุ่มชาติพันธุ์ พร้อมด้วยสหพันธ์เกษตรกรภาคเหนือ และขบวนการประชาชนเพื่อสังคมที่เป็นธรรม (P-Move) รวมกว่า 47 เครือข่าย จากหลายจังหวัดภาคเหนือ จำนวนหลายร้อยคน เดินทางไปชุมนุมหน้าศาลากลางจังหวัดเชียงใหม่ ยื่อนหนังสือผ่านนายทศพล เผื่อนอุดม รองผู้ว่าราชการจังหวัด เรียกร้องให้รัฐบาลยุติการนำร่างพระราชกฤษฎีกา โครงการอนุรักษ์และดูแลทรัพยากรธรรมชาติภายในอุทยานแห่งชาติ ตามมาตรา 64 แห่งพระราชบัญญัติอุทยานแห่งชาติ พ.ศ. 2562 และร่างพระราชกฤษฎีกาโครงการอนุรักษ์และดูแลทรัพยากรธรรมชาติ ภายในเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าและเขตห้ามล่าสัตว์ป่า ตามมาตรา 121 แห่งพระราชบัญญัติสงวนและคุ้มครองสัตว์ป่า พ.ศ. 2562 เข้าสู่ที่ประชุมคณะรัฐมนตรีในวันอังคารนี้ (12 พ.ย.) โดยทันที อย่างไม่มีเงื่อนไข
การชุมนุมครั้งนี้แกนนำได้ผลัดกันขึ้นกล่าวปราศรัย มีเนื้อหาสำคัญระบุการรุกไล่ประกาศพื้นที่ป่าอนุรักษ์ตามนโยบายของหลายรัฐบาลสืบเนื่องกันมา ทำให้สถานการณ์การเร่งรัดประกาศป่าอนุรักษ์ด้วยการออกกฎหมายและใช้กำลังป่าเถื่อนเกิดเป็นกรณีความขัดแย้งทั่วประเทศ
ข้อพิพาทอันปรากฏเป็นที่ประจักษ์ต่อสาธารณชนหลายกรณี ตอกย้ำความรุนแรงจากผู้ถือกฎหมาย ที่กระทำต่อผู้คนในเขตป่าอย่างเลือดเย็นไม่จบสิ้น และ ท่ามกลางช่วงเวลาอันเจ็บปวดเหล่านั้น กลุ่ม “ผู้บุกเบิก” และผู้ดูแลรักษาป่า ถูกกล่าวหาว่าเป็น “ผู้บุกรุก” และผู้ทำลายป่า
แต่กลุ่มชาติพันธ์เหล่านี้ก็ได้ยืนยันสิทธิ และร่วมต่อสู้เรียกร้องความเป็นธรรมมาโดยตลอด นอกจากนี้ที่ผ่านมา หลายชุมชนยังได้ร่วมกันดูแลรักษาป่า และปกป้องผืนป่า ร่วมกับเจ้าหน้าที่ป่าไม้และหน่วยงานต่างๆ ในพื้นที่ ทำให้ปัจจุบันสภาพป่าได้ฟื้นตัว และมีความอุดมสมบูรณ์มากขึ้นกว่าเดิม
ภัยคุกคามใหม่ที่กำลังเกิดขึ้นในขณะนี้คือความพยายามของกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม โดยกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่าและพันธุ์พืช ที่เร่งผลักดันร่างพระราชกฤษฎีกาป่าอนุรักษ์ภายใต้พระราชบัญญัติอุทยานแห่งชาติ และ พระราชบัญญัติสงวนและคุ้มครองสัตว์ป่า พ.ศ. 2562 ให้มีผลบังคับใช้ ผ่านที่ประชุมคณะรัฐมนตรีในวันอังคารที่ 12 พฤศจิกายนนี้
เนื้อหาในร่างพระราชกฤษฎีกาฯ ทั้ง 2 ฉบับนั้นเต็มไปด้วยการละเมิดสิทธิมนุษยชน เปลี่ยนประชาชนผู้บุกเบิกให้กลายเป็นผู้บุกรุก สอดแทรกแนวทางการยึดที่ดินของประชาชนบีบบังคับจำกัดสิทธิ์การถือครองที่ดิน และยังรวบอำนาจผูกขาดการจัดการทรัพยากรธรรมชาติไว้ที่หน่วยงานป่าไม้เท่านั้น แนวทางดังกล่าวเป็นการผลักคนออกจากป่าไม่ต่างจากอดีตที่ผ่านมา จึงขอประณามการกระทำของกระทรวงทรัพยากรฯ และกรมอุทยาน ฯ ที่พยายามผลักดันกฎหมายอนุรักษ์อันล้าหลัง และ อำนาจนิยมมากดขี่ประชาชน โดยไม่สนใจกระแสโลกที่เปลี่ยนไปสู่การกระจายอำนาจ การจัดการทรัพยากรสู่ชุมชนท้องถิ่น แม้ประเทศไทยจะเปลี่ยนผ่านสู่รัฐบาลเลือกตั้งในระบอบประชาธิปไตยแล้วก็ตาม
กลุ่มผู้ชุมนุมระบุว่าขอเรียกร้องไปยังนายกรัฐมนตรี แพทองธาร ชินวัตร, รองนายกรัฐมนตรี ประเสริฐ จันทรรวงทอง, และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เฉลิมชัย ศรีอ่อน รวมถึงคณะรัฐมนตรีทั้งคณะ ต้องแสดงความกล้าหาญปกป้องประชาชนที่อยู่ในป่าอนุรักษ์กว่า 4,000 ชุมชน ที่กำลังถูกฝ่ายรัฐราชการอำนาจนิยมโดยกรมอุทยานฯ กดขี่รังแก
โดยรัฐบาลต้องยุติการนำร่างพระราชกฤษฎีกาโครงการอนุรักษ์และดูแลทรัพยากรธรรมชาติ ภายในอุทยานแห่งชาติ ตามมาตรา 64 แห่งพระราชบัญญัติอุทยานแห่งชาติ พ.ศ. 2562 และร่างพระราชกฤษฎีกาโครงการอนุรักษ์และดูแลทรัพยากรธรรมชาติภายในเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าและเขตห้ามล่าสัตว์ป่า ตามมาตรา 121 แห่งพระราชบัญญัติสงวนและคุ้มครองสัตว์ป่า พ.ศ. 2562 เข้าสู่ที่ประชุมคณะรัฐมนตรีโดยทันทีอย่างไม่มีเงื่อนไข