จับ "ไทยเทา" ร่วมแอฟริกันตะวันตกลวงข้ามชาติ หลอกบริษัทดังในญี่ปุ่นโอนเข้าไทย อายัดทัน 215 ล้านบาท นำคืนผู้เสียหาย
จับ "ไทยเทา" ร่วมแอฟริกันตะวันตกลวงข้ามชาติ หลอกบริษัทดังในญี่ปุ่นโอนเข้าไทย อายัดทัน 215 ล้านบาท นำคืนผู้เสียหาย

ปิดบัญชี ตามล่าม้า คว้าเงินคืน! จับ "ไทยเทา" ร่วมแอฟริกันตะวันตกลวงข้ามชาติ หลอกบริษัทดังในญี่ปุ่นโอนเข้าไทย อายัดทัน 215 ล้านบาท นำคืนผู้เสียหาย
วันที่ 9 ก.ค.68 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า พล.ต.ท.ไตรรงค์ ผิวพรรณ ผบช.สอท. , พล.ต.ต.อรรถสิทธิ์ สุดสงวน รอง ผบช.สอท. , พล.ต.ต.วิวัฒน์ คำชำนาญ รอง ผบช.สอท. , พล.ต.ต.ทินกร รังมาตย์ รอง ผบช.สอท., พล.ต.ต.ศิริวัฒน์ ดีพอ ผบก.สอท.1 พร้อมเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้อง ร่วมแถลงข่าว “MONEY CASH BACK ปิดบัญชี ตามล่าม้า คว้าเงินคืน EP.17” ตำรวจไซเบอร์คืนเงินเหยื่อครั้งสูงสุด หลังจับไทยเทาร่วมแอฟริกันตะวันตกลวงข้ามชาติ หลอกบริษัทดังในญี่ปุ่นโอนเข้าไทย อายัดทัน 215 ล้าน นำคืนผู้เสียหาย
สืบเนื่องจาก เมื่อวันที่ 25 เม.ย.68 พล.ต.ท.ไตรรงค์ ได้รับการประสานจากผู้เชี่ยวชาญของธนาคารพาณิชย์ในประเทศไทยแห่งหนึ่ง ว่าได้รับแจ้งจากธนาคารในญี่ปุ่นว่ามีการฉ้อโกงทางการเงิน (Cyber Fraud) โดยบริษัทชื่อดังในญี่ปุ่นถูกหลอกให้โอนเงิน มายังธนาคารปลายทางในประเทศไทย จำนวน 228,543,909.28 บาท
โดยมิจฉาชีพ ได้ดักรับอีเมล์ของบริษัทญี่ปุ่นและบริษัทคู่ค้า พร้อมทั้งสร้างโดเมนอีเมล์ปลอมขึ้นมาให้มีลักษณะคล้ายกับโดเมนของบริษัททั้งสอง มาตั้งแต่ปี 2567 จากนั้นได้แจ้งเจ้าหน้าที่ของบริษัทญี่ปุ่นว่า บริษัทของตนเปลี่ยนบัญชีรับ-โอนเงิน เมื่อเจ้าหน้าที่บริษัทญี่ปุ่นหลงเชื่อ จึงได้โอนเงินให้กว่า 228 ล้านบาท มายังบัญชีบริษัทในไทย ผ่านระบบโอนเงินต่างประเทศ (SWIFT) หลังการโอนเงิน เมื่อเวลา 17.31 น. นายวีรกานต์ ได้ถอนเงินออกจากบัญชี จำนวน 3 ล้านบาท และในเวลา 18.05 น. ได้ถอนเงินเพิ่มอีก จำนวน 10 ล้านบาท ก่อนที่ธนาคารจะอายัดบัญชีดังกล่าว และประสาน บช.สอท.เข้าดำเนินการตรวจสอบ
จากการสืบสวน พบว่า บริษัทคู่ค้าปลอมดังกล่าว ตั้งอยู่ในพื้นที่แขวงคลองสองต้นนุ่น เขตลาดกระบัง กทม.จดทะเบียนนิติบุคคลด้วยทุน 1 ล้านบาท โดยแจ้งว่าประกอบธุรกิจขายส่งยานยนต์เก่า มีกรรมการบริษัท จำนวน 3 ราย ได้แก่ นายวีรกานต์ , น.ส.วิลัยพร และนายอนุชา หลังรวบรวมพยานหลักฐาน เจ้าหน้าที่ตำรวจได้ขอออกหมายจับกรรมการทั้ง 3 ราย และสามารถจับกุมตัวนายวีรกานต์ ได้ในช่วงค่ำวันที่ 28 เม.ย.68 และจับกุม น.ส.วิลัยพร กับ นายอนุชา ได้ในช่วงเย็นของวันที่ 29 เม.ย.68 ในพื้นที่ อ.สามพราน จ.นครปฐม
จากการสืบสวนขยายผลเพิ่มเติม พบว่า Mr.Annest Onyebuchi ชาวไนจีเรีย ซึ่งเป็นสามีของ น.ส.พิญญานันท์เป็นผู้อยู่เบื้องหลังการก่อเหตุดังกล่าว จนนำไปสู่การจับกุม น.ส.พิญญานันท์ ผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องในการเบิกเงินร่วมกับ นายวีรกานต์ ที่ถูกจับกุมไปก่อนหน้านี้ ซึ่ง น.ส.พิญญานันท์ ให้ข้อมูลว่า Mr.Annest ได้ส่งภาพใบแจ้งหนี้ของบริษัทญี่ปุ่นผ่าน WhatsApp มาให้ และให้เธอเป็นผู้นำส่งต่อให้ นายวีรกานต์ เพื่อใช้ยื่นถอนเงินกับธนาคาร
เจ้าหน้าที่ตรวจสอบเพิ่มเติม จนพบว่า นายวีรกานต์ เตรียมนำเงิน จำนวน 100 ล้านบาท ฝากเข้าบัญชีธนาคาร บริษัทมิลเลียน มิกซ์ จำกัด ซึ่งมีนายภูริพัฒน์ และนายสุเมศย์ เป็นกรรมการ จึงออกหมายจับเพิ่มอีก 3 ราย ได้แก่ Mr.Annest Onyebuchi , นายภูริพัฒน์ และนายสุเมศย์ และได้เข้าตรวจค้นบริษัทดังกล่าว (ปัจจุบันติดป้ายชื่อใหม่เป็น"ฟู้ดไซเบอร์ จำกัด") ซึ่งตั้งอยู่ชั้น 13 ของอาคารแห่งหนึ่ง ถนนพระราม 4 แขวงทุ่งมหาเมฆ เขตสาทร กทม. โดยสามารถตรวจยึดหลักฐานสำคัญได้หลายรายการ
ล่าสุด เมื่อวันที่ 8 พ.ค.68 เจ้าหน้าที่ตำรวจสามารถจับกุม Mr.Ibrahim อายุ 51 ปี สัญชาติกาน่า ได้ที่ทำการตรวจคนเข้าเมือง จ.นนทบุรี โดย Mr.Ibrahim เป็นผู้แชตหา นายภูริพัฒน์ หนึ่งในกรรมการบริษัท ว่าให้ช่วยรับเงินที่โอนตรงจากบริษัทชื่อดังแห่งหนึ่งของประเทศญี่ปุ่น เมื่อรับโอนเงินเรียบร้อยแล้ว Mr.Ibrahim จะจ่ายเงินให้ตนเองเป็นส่วนแบ่งจำนวน 5 เปอร์เซ็นต์ จากยอดเงินที่รับโอน ก่อนที่ภายหลังจะสั่งให้ลบแชตและสั่งให้ปิดปาก เนื่องจาก ผู้ต้องหาชุดแรกโดนจับกุม
จากกรณีดังกล่าว สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ได้มีการประสานงาน FBI ให้ช่วยตรวจสอบการปลอมอีเมลในเชิงลึก นอกจากนี้ พล.ต.อ.ธัชชัย ในฐานะ ผอ.ศปอส.ตร. รวมทั้ง พล.ต.ท.ไตรรงค์ ผบช.สอท.ยังได้นำคณะเดินทางไปต่างประเทศ เพื่อสืบสวนหาข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับระบบและมาตรการรักษาความปลอดภัยทางไซเบอร์ของบริษัทญี่ปุ่น และบริษัทคู่ค้าอีกประเทศ เพื่อหารายละเอียดผู้กระทำความผิดทางอีเมลด้วยตัวเอง
เบื้องต้น เจ้าหน้าที่ตำรวจสามารถจับกุมผู้ต้องหาได้แล้ว นำตัวส่งดำเนินคดีตามกฎหมาย จำนวน 6 ราย โดยดำเนินคดีในข้อหา
- ร่วมกันฉ้อโกงโดยแสดงตนเป็นบุคคลอื่น
- โดยทุจริตหรือโดยหลอกลวงร่วมกันนำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ซึ่งข้อมูลอันเป็นเท็จฯ
- ร่วมกันเปิด หรือยินยอมให้บุคคลอื่น ใช้บัญชีเงินฝากบัตรอิเล็กทรอนิกส์ฯ
- ร่วมกันมีส่วนร่วมในองค์กรอาชญากรรมข้ามชาติฯ
- ร่วมกันเป็นอั้งยี่และซ่องโจรฯ
จากปฏิบัติการดังกล่าว เจ้าหน้าที่ตำรวจสามารถติดตามอายัดเงินได้ทั้งสิ้น จำนวน 215 ล้านบาท โดยวันนี้ ผบช.สอท. พร้อมเจ้าหน้าที่ตำรวจชุดติดตามคดี จึงได้ร่วมกันนำเงินจำนวนดังกล่าว มอบคืนให้แก่ผู้เสียหาย ตามโครงการ “MONEY Cash Back ปิดบัญชี ตามล่าม้าคว้าเงินคืน” - ข่าวเวิร์คพอยท์รายงาน