“บิ๊กโจ๊ก” บุก ป.ป.ช. ร้องเรียนเอาผิด “นายกฯ เศรษฐา” ปมคดีเว็บพนัน

“บิ๊กโจ๊ก” บุก ป.ป.ช. ร้องเรียนเอาผิด “นายกฯ เศรษฐา” ปมคดีเว็บพนัน

126522 เม.ย. 67 14:26   |     ข่าวเวิร์คพอยท์

“บิ๊กโจ๊ก” หอบหลักฐานร้องเรียน ป.ป.ช. ให้เอาผิดนายกรัฐมนตรี และหัวหน้าพนักงานสอบสวนทั้งหมด ระบุถูกดำเนินการโดยมิชอบด้วยกฎหมายปมคดีพัวพันเว็บพนัน

(22 เม.ย. 67) เวลา 10.45 น. พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ได้เดินทางยัง คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) เพื่อยื่นหนังสือถึง นายนิวัติไชย เกษมมงคล เลขาธิการคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) เพื่อร้องขอความเป็นธรรม หลังจากที่ตนเองถูกดำเนินคดีและเข้าสู่ขบวนการสอบสวนอย่างไม่เป็นธรรม นาน 6 เดือน จนถึงขั้นให้ออกจากราชการไว้ก่อน


วันนี้ตนจึงต้องออกมาต่อสู้เพื่อตัวเอง จะเน้นในเรื่องของคดีอาญาที่มีการดำเนินการโดยมิชอบ จะไม่พูดถึงสำนวนคดีว่าใครผิด ใครถูก พร้อมกางหลักฐานขบวนการสอบสวน โดยระบุว่า ในคดีนี้เริ่มจากการดำเนินคดีกับลูกน้องตนทั้ง 8 และมีการขยายผลมายัง ตนและลูกน้อง รวม 5 คน ท้ายที่สุดทาง ป.ป.ช. มีมติเรียกกลับสำนวน เพราะเป็นคดีที่มีเจ้าหน้าที่รัฐเข้ามาเกี่ยวข้อง


ซึ่งตามกระบวนการ ตำรวจมีหน้าที่ราบรวมพยานหลักฐานเบื้องต้นและส่งให้ ป.ป.ช. ภายใน 30 วัน โดยไม่ได้มีหน้าที่ในการสอบสวน หรือออกหมายเรียก หรือขอศาลออกหมายจับ ปรากฎว่าหลังจากนั้นพนักงานสอบสวนกลับมีการทยอยแบ่งสำนวนกันทำ ทั้งที่เป็นเส้นเงินเดียวกัน ผู้ต้องหากลุ่มเดียวกัน และเกี่ยวข้องกับเจ้าหน้าที่รัฐ ซึ่งต้องส่ง ป.ป.ช. ในคราวเดียวกัน และเป็นอำนาจของ ป.ป.ช. ตนมองว่าการสอบสวนของตำรวจ สน.เตาปูน ไม่เป็นธรรม


ในความผิดฐานฟอกเงินถ้าเป็นเจ้าหน้าที่รัฐ ป.ป.ช. สอบสวน ถ้าหากความเสียหายมูลค่าเกินกว่า 300 ล้านบาท ต้องเป็นอำนาจของ DSI โดยพนักงานสอบสวนจะต้องส่งสำนวนคดีพิเศษให้ DSI ภายใน 15 วัน แต่ทางพนักงานสอบสวน สน.เตาปูน อ้างว่า ความเสียหายไม่ถึง 300 ล้าน แต่ภายหลังพบว่าสำนวนที่ส่งให้ ป.ป.ช. มีความเสียหายอยู่ที่ 490 ล้านบาท ซึ่งตนมองว่าการที่พนักงานสอบสวน สอบสวนแทน ป.ป.ช. ไม่ได้หวังผลในเรื่องคดี แต่หวังผลไม่ให้ตนขึ้นตำแหน่ง ผบ.ตร. ซึ่งตนเป็นแคนดิเดต ผบ.ตร. อันดับที่ 1 แต่ถ้าหากตนเป็นอันดับที่ 6 คงไม่ถูกกระทำแบบนี้



ทั้งนี้ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ มองว่า มีการกลั่นแกล้ง และมีขบวนการแบ่งงานกันทำ และตั้งข้อสังเกตว่า ที่ผ่านมาตนได้ทำหนังสือขอความเป็นธรรมมาโดยตลอด แต่ภายหลังจากที่มีคำสัางให้ตนออกจากราชการไว้ก่อน(18 เม.ย.) 1 วันหลังจากนั้น คณะพนักงานสอบสวนส่งสำนวนให้กับ ป.ป.ช. (19 เม.ย.) ซึ่งมองว่า ถ้ามีการส่งสำนวนให้ ป.ป.ช. ตั้งแต่แรก ตนจะอยู่ในฐานะผู้บริสุทธิ์ จนกว่าคณะกรรมการจะชี้มูล และคดีจะเป็นที่สิ้นสุด ซึ่งตามกฎหมายจถไม่สามารถแต่งตั้งหรือโยก ย้ายตนได้ พร้อมย้ำว่า “ถ้าสอบสวนอย่างเป็นธรรม แล้วผมผิดจริงผมออกเลย เพราะถ้าเป็นคนอื่นคงหมอบไปแล้ว” 


ส่วนเรื่องวินัยตนได้เตรียมต่อสู้โดยการร่างหนังสือถึงคณะกรรมการพิทักษ์ระบบคุณธรรม และจะมีการแถลงข่าวในอีก 1-2 วันนี้ เพื่ออธิบายรายละเอียดเกี่ยวกับการดำเนินการทางวินัยโดยมิชอบ และเชื่อว่าสื่อจะต้องตกใจอย่างแน่นอน 


ในวันนี้ตนได้ยื่นเรื่องร้องเรียน นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี ปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ ที่มีคำสั่งให้ตนกลับไปที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติแล้วให้ออกจากราชการ ทั้งที่ก่อนหน้ามีคำสั่งให้มาช่วยราชการที่สำนักนายก และอยู่ในขบวนการสอบสวน 60 วัน / และกล่าหาหัวหน้าพนักงานสอบสวน และคณะพนักงานสอบสวนทั้งหมด ที่ปฏิบัติหน้าที่โดยไม่มีอำนาจ 


“ตนออกจากราชการแล้ว ตนมีเวลาในการเตรียมตัวสู้คดีเยอะ หลังจากนี้เตรียมตั้งรับให้ทันแล้วกัน”


ส่วนเรื่องเอกสารที่ปรากฎสู่สาธารณะ ที่ได้มีการทำหนังสือคัดค้านการปฏิบัติหน้าที่ของหนึ่งใน กรรมการ ป.ป.ช. และขอให้ตรวจสอบพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสม พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ บอกว่า สื่อคงเห็นรายละเอียดอยู่แล้ว จะไม่พูดถึงเรื่องเอกสารที่ปรากฏ แต่ทาง ป.ป.ช. จะเอาไปประชุมพิจารณา เชื่อว่าใครทำอะไรก็ได้อย่างนั้น


วันนี้ตนมาหาความยุติธรรมนอกองค์กร เพราะองค์กรของตนให้ความยุติธรรมไม่ได้ วันนี้ใครเกี่ยวข้องตนจะดำเนินคดีทั้งหมด และในท่อนท้ายของเอกสารมีการลงชื่อพยาน กล่าวอ้างถึง พลเอกประวิตร วงษ์สุวรรณ อดีตรองนายกรัฐมนตรี ได้มีการหารือก่อนลงชื่อหรือไม่ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ บอกว่า ขอไม่ตอบในส่วนนี้ พร้อมยืนยันว่าตนไม่ใช่คนปล่อยเอกสารฉบับนี้ออกมาแน่นอน


เมื่อผู้สื่อข่าวถามว่า หากไม่ได้กลับไปเป็นข้าราขการตำรวจ จะหันไปเล่นการเมืองหรือไม่ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ ระบุว่า ตอนนี้ยังไม่ได้คิด เอาเรื่องสู้คดีก่อน เพื่อให้เป็นตัวอย่างแก่ลูกหลานว่า การกระทำโดยมิชอบจะมีผลอย่างไร


TAGS:

ข่าวที่เกี่ยวข้อง