“บิ๊กต่าย” สั่งหาข้อเท็จจริงผู้เสียชีวิตจากเคส 'ธุรกิจเครือข่ายดารา'
“บิ๊กต่าย” สั่งหาข้อเท็จจริงผู้เสียชีวิตจากเคส 'ธุรกิจเครือข่ายดารา'
“บิ๊กต่าย” ขอ 2-3 วัน ตรวจสอบ 'ธุรกิจเครือข่ายดารา' สั่งระดมตำรวจสอบสวนกลาง เร่งสอบปากคำผู้เสียหาย พร้อมประสานปปง.อายัดทรัพย์เจ้าของบริษัท
เมื่อเวลา 13.00 น. วันที่ 10 ต.ค. 67 ที่กองบังคับการปราบปราม พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ รรท.ผบ.ตร., พล.ต.ท.อัคราเดช พิมลศรี ผู้ช่วย ผบ.ตร., พล.ต.ท.จิรภพ ภูริเดช ผบช.ก. และ พล.ต.ต.วิทยา ศรีประเสริฐภาพ ผบก.ปคบ. เข้าร่วมประชุมติดตามพร้อมเรียกตำรวจสอบสวนกลางทั้งหมดร่วมรับฟังคดีบริษัทขายตรงแห่งหนึ่ง ที่มีดาราเป็นผู้บริหาร
ต่อมาเวลา 14.30 น. ภายหลังจากการประชุมกว่า 1 ชม. พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ ได้เปิดเผยถึงกรณีดังกล่าวกับสื่อมวลชนว่า สำหรับคดีของบริษัทขายตรง ได้ทำการจัดตั้งศูนย์รับเรื่องร้องเรียนไว้ที่ บก.ปคบ. ซึ่งในวันนี้ตนเดินทางมาเพื่อดูว่ามีผู้เสียหายจำนวนมากน้อยแค่ไหน และระดมกำลังพนักงานสอบสวนจาก บช.ก. ทั้งหมดให้เข้ามาสอบสวนในเรื่องนี้ด้วย โดยข้อมูลเบื้องต้นที่ได้จากผู้เสียหายที่ทำการสอบไปแล้ว 80 ปาก ได้แจ้งว่าผู้ถูกกล่าวหาได้มีการชักชวนให้ทำธุรกิจ โดยเป็นตัวแทนของบริษัทมีการให้อบรมเสียค่าอบรม จากนั้นเข้าสู่กระบวนการเปิดเครดิต และอัพเกรดเป็นขั้นบันไดเริ่มจาก 2,500 / 25,000 และ 250,000 บาท ก็มีความเป็นไปได้ที่บริษัทดังกล่าวจะเข้าข่ายความผิดที่เกี่ยวกับเรื่องของ ธุรกิจการขายตรง แชร์ลูกโซ่ หรือการหลอกร่วมลงทุน โดยรวมมูลค่าความเสียหายที่สอบสวนทั้ง 80 คนอยู่ที่ 31 ล้านบาท
ในส่วนเรื่องดาราที่ปรากฏตามสื่อว่าเป็นผู้บริหาร หรือที่เป็นพรีเซ็นเตอร์นั้น หากพบว่ามีการสนับสนุนความผิดและเป็นตัวการความผิด จะดำเนินการตามกฏหมายไม่มีละเว้นใครทั้งสิ้น ดังนั้นทางดาราและศิลปินที่มาไลฟ์สดหรือช่วยโฆษณาสินค้า ก็จะดูข้อเท็จจริงในเบื้องต้นก่อนว่าเข้าข่ายความผิดใดและอยู่ในระดับที่ทางตำรวจจะพิจารณาความผิดนั้นมากน้อยแค่ไหน
สิ่งแรกที่ต้องทำตอนนี้คือ สอบสวนผู้เสียหายและรวบรวมข้อมูลพยานหลักฐานก่อน โดยจะใช้เวลาเร็วที่สุดประมาณ 2-3 วัน ที่จะสามารถพิสูจน์ให้ได้ข้อเท็จจริง จากนั้นก็เข้าสู่กระบวนการพิจารณาข้อเท็จจริงประกอบข้อกฎหมาย คาดว่าไม่เกินสัปดาห์ที่จะพบว่ามีความผิดในฐานใด ก่อนเข้าสู่ขั้นตอนการออกหมายเรียก หากไม่มาก็ออกหมายจับ ขณะนี้ตนให้ความสำคัญเรื่องเงินเป็นหลักด้วย แต่ตำรวจไม่มีอำนาจไปยึดทรัพย์ ดังนั้นทางตำรวจจะส่งเรื่องไปที่ ปปง. โดยมุ่งเป้าไปที่ตัวเจ้าของบริษัทก่อน โดยให้ปปง.ใช้อำนาจอายัดทรัพย์ทั้งหมดไว้ก่อน
อย่างไรก็ตามทาง ผู้ถูกกล่าวหาก็สามารถแสดงให้เห็นได้ว่าทรัพย์ดังกล่าวไม่ใช่ทรัพย์จากการกระทำความผิด แต่หากพบแล้วว่ามีการกระทำความผิดก็จะเข้าสู่กระบวนการฟ้องร้องและเฉลี่ยทรัพย์คืน นอกจากนี้ในส่วนดาราที่ได้รับเงินเดือนจากบริษัทดังกล่าวจะถูกอายัดทรัพย์สินด้วยหรือไม่ ก็ต้องดูว่ามีส่วนร่วมกระทำความผิดหรือเป็นตัวการในการกระทำความผิดร่วมกันหรือไม่ ถ้าข้อเท็จจริงปรากฏก็ยืนยันว่าจะโดนอายัดทรัพย์ทุกรายไม่มีละเว้น นอกจากนี้ในกรณีเมื่อวันที่ 25 พ.ค. ที่มีกลุ่มทนายความเคยยื่นคำร้องขอให้ทางบก.ปคบ. ดำเนินการตรวจสอบว่าบริษัท ธุรกิจการขายตรง ดังกล่าวว่า เข้าข่ายกระทำความผิดในเรื่องดังกล่าว ก็จะให้ทางพล.ต.ท.อัคราเดช ตรวจสอบเพิ่มเติมว่าทางบก.ปคบ.มีการดำเนินการไปแล้วอย่างไรบ้าง
สำหรับที่มีกระแสข่าวว่ามีผู้เสียชีวิตจากเคสดังกล่าว จะมีการสอบปากคำทางด้านญาติผู้เสียชีวิตหรือไม่นั้น ต้องเรียนว่าขณะนี้ตนยังไม่ทราบว่ามีผู้เสียชีวิต ต้องตรวจสอบให้ได้ข้อเท็จจริงก่อน ทั้งนี้ขอประชาสัมพันธ์ ผู้เสียหายสามารถแจ้งความได้ในระบบหรือสายตรง 1599 หรือแจ้งผ่านศูนย์รับแจ้งความออนไลน์ AOC หรือสามารถแจ้งความได้ที่สถานีตำรวจใดก็ได้ หรือจะมาที่บช.ก.ได้เลย
ข่าวที่เกี่ยวข้อง :