จับจนระอา “หลวงตา WFH” วัดไม่อยู่-ขับรถบิณฑบาตร
จับจนระอา “หลวงตา WFH” วัดไม่อยู่-ขับรถบิณฑบาตร
“หลวงพี่น้ำฝน” ออกโรง ตามจับ “หลวงตา WFH” ทำงานจากที่บ้าน ไม่ยอมอยู่วัด เช้า่มาขับกระบะข้ามเขตไปบิณฑบาตรจังหวัดข้างๆ โดนสึกไป 2 รอบยังไม่เข็ด
(13 พ.ย. 67) เวลา 05.00 น. พระครูปลัดสิทธิวัฒน์ (หลวงพี่น้ำฝน) เจ้าอาวาสวัดไผ่ล้อม ในฐานะ คณะทำงานดำเดินการแก้ไขข้อขัดข้อง ระงับเหตุ และแก้ไขปัญหาอธิกรณ์ข้อร้องเรียนในเขตปกครองคณะสงฆ์ภาค 14 ประสานพ.อ.ภูมิพศุตม์ เตี๊ยะเพชรดี รอง ผอ.รมน.จังหวัด นครปฐม (ท.) และมอบหมายให้ พ.ท.ประเสริฐพร สุขนิพิฐพร, ร.อ.วัชรทัต ทองสว่าง, ร่วมสนธิกำลังกับ นายพรชัย โพธิ์ทองนาค ปลัดอำเภอนครชัยศรี, นายภูวิส ภิรมย์เบี้ยว ผู้ช่วยป้องกันจังหวัดนครปฐม, นายสมรักษ์ ท้วมสุข ปลัดอำเภอเมืองนครปฐม, นายธานี พิกุลทอง ผู้อำนวยการสำนักงานพระพุทธศาสนา จังหวัดนครปฐม คณะทำงานพระวินยาธิการวัดไผ่ล้อม ลงพื้นไปตรวจสอบยังบ้านหลังหนึ่งในพื้นที่ ต.พระปฐมเจดีย์ อ.เมือง จ.นครปฐม หลังจากได้รับแจ้งว่ามีพระมาอาศัยอยู่ในบ้านพักและไม่ยอมกลับไปพำนักยังวัดต้นสังกัดเป็นเวลาแรมเดือน และคาดว่าจะเป็นเป้าหมายเดิมที่หลวงพี่น้ำฝนเคยจับสึกมาแล้ว
เจ้าหน้าที่ชุดเฉพาะกิจประสานงานร่วม ได้ลงพื้นที่ตรวจสอบยังบ้านเลขที่ดังกล่าวพบว่ามีรถกระบะ จอดอยู่ที่หน้าบ้านหลังดังกล่าว จึงได้จัดกำลังซุ่มรอเพื่อตรวจสอบ กระทั่งเวลา 06:00 น. เศษ ได้มีชายแต่งกายเป็นพระขับรถกระบะคันดังกล่าวออกมาจากบ้านและมุ่งหน้าไปยังจังหวัดราชบุรี ซึ่งเจ้าหน้าที่ได้มีการสะกดรอยตามไปห่างๆ ซึ่งชายคนดังกล่าวได้ขับรถ มาจอดในลานจอดรถ ที่สถานีตำรวจภูธรบ้านโป่ง และได้แต่งกายโดยอุ้มบาตรเดินออกไปที่ตลาดซึ่งอยู่ห่างไปประมาณ 200 เมตร
จากนั้นได้เริ่มเดินบิณฑบาต ไม่นานก็ได้ถูกเจ้าหน้าเทศกิจ มาสั่งให้เดินออกไปจากที่เนื่องจากมีประชาชนได้ร้องเรียนว่ามีพระต่างถิ่นมาอาศัยเดินรับบาตรโดยไม่ทราบว่าเป็นใคร ซึ่งทีมติดตามได้เห็นใบหน้า จึงยืนยันแน่ชัดว่า คือพระเรืองชัย เตชปัญโญ อายุ 78 ปี หรือ หลวงตาเวิร์คฟอร์มโฮม ที่เคยถูกหลวงพี่น้ำฝนติดตามจับกลุ่มและทำการสึกมาแล้วสองครั้ง
เมื่อพระเรืองชัย ทราบว่ามีเจ้าหน้าที่เทศกิจฯ ได้มีการขับไล่และแจ้งว่าไม่สามารถจะมาเดินบิณฑบาตในบริเวณดังกล่าวได้จึงรีบเดินกลับมาที่รถ และมาพบชุดติดตาม จึงเกิดความตกใจและรีบขับรถยนต์กระบะออกไปจาก สภ.บ้านโป่ง แต่ไปไม่รอดและถูกเจ้าหน้าที่ขวางสกัดจับได้หลังหลังจากขับออกไปได้เพียง 1 กิโลเมตร โดยขณะที่ทำการจับกุมพระเรืองชัย มีสีหน้าซีด นิ่งเงียบ และพูดบอกเพียงว่าจะไปปฏิบัติธรรมบ้าง เพิ่มมามาหาญาติที่นี่บ้าง แต่หลวงพี่น้ำฝน ซึ่งนั่งรถที่ขับตามประกบอยู่ได้ลงมาแจ้งว่าได้ติดตามตัวมาตั้งแต่หน้าบ้านที่จังหวัดนครปฐมแล้ว จึงยอมจำนนด้วยหลักฐานและสารภาพว่าขับรถมาจริง แต่ครั้งนี้ได้มีการบวชพระอย่างถูกต้องมาแล้ว
หลวงพี่น้ำฝนแจ้งว่า การขับรถของพระเรืองชัยมีมาหลายครั้ง ซึ่งครั้งนี้ก็ยังก่อเหตุอีกหลังจากที่เคยรับปากว่าจะไม่ทำผิดแล้ว
เมื่อตรวจค้นในรถ ยังพบเสื้อลายพรางสีเขียว อุปกรณ์ทำงานช่าง เป็นมีดยาว และขวาน จำนวนหลายชิ้น ซึ่งได้ประสานให้เจ้าหน้าที่ตำรวจตรวจสอบว่าเป็นอาวุธหรือไม่ ซึ่งทางเจ้าหน้าที่ระบุว่าเป็นเครื่องมือทางการเกษตรและงานช่าง ยังไม่ผิดข้อกล่าวหาใดๆทางกฏหมาย
จากนั้นจึงได้ควบคุมตัวกลับมายังบ้านพัก และให้นำเอกสารต่างๆไปพบกับ พระครูทักษิณานุกิจ เจ้าคณะตำบลพระปฐมเจดีย์ เจ้าอาวาสวัดห้วยจระเข้ จังหวัดนครปฐม ทำการกล่าวโทษและสั่งการให้ลาสิกขา เนื่องจากทำผิดกฏฐานกับรถเป็นโลกะวัชชะ ซึ่งเป็นมาแล้วหลายครั้ง ซึ่งขณะที่ทำการสึกเสร็จสิ้น นายเรืองชัยได้แต่งกายด้วยชุดฆราวาส ก่อนจะมาลาเจ้าคณะตำบลพระปฐมเจดีย์ และหลวงพี่น้ำฝน โดยให้สัญญาต่อหน้าคณะเจ้าหน้าที่ที่ทำการจับกุมว่าไม่กลับมาก่อปัญหาอีก
หลวงพี่น้ำฝน กล่าวว่า เรื่องนี้ได้รับการร้องเรียนจากชาวบ้านมาอีกเช่นเดิม และเมื่อมาตรวจสอบก็พบว่าเป็นพระรูปเดิมที่เคยทำการจับกุมสึกมาแล้วสองครั้ง โดยยังมีการสัญญาและสาบานต่อหน้าสรีระสังขารหลวงพ่อพูล ว่าจะไม่กลับมาสร้างปัญหาแต่ก็มีการร้องเรียนและกลับมาพบจนได้
ทั้งนี้ได้แจ้งว่าหากพระเรืองชัยหรือนายเรืองชัยจะกลับมาบวชอีกและถ้ามีประชาชนร้องเรียนอีกก็จะกลับตามมาไล่สึกอีกเช่นกัน และการที่นายเรืองชัยได้สัญญาอีกว่าจะไม่สร้างปัญหาอาตมาก็ไม่เชื่อว่าเค้าจะไม่กลับมาบวชเพราะมีการทำผิดอยู่ซ้ำซากบ่อยครั้งและไม่หลาบจำ โดยการขับรถของพระภิกษุสงฆ์ก็ไม่สามารถทำได้อยู่แล้ว เนื่องจาก มีกฎระเบียบข้อห้ามในเรื่องนี้อยู่ รวมถึงพระภิกษุสงฆ์ของไทยก็ไม่สามารถทำใบขับขี่ได้ ซึ่งตอนนี้และมีการแจ้งเบาะแสที่น่าสงสัยเชื่อมโยงกันอยู่ในหลายเรื่องที่เป็นการสร้างปัญหาให้กับศาสนาแต่ขอตรวจสอบให้ทราบให้แน่ชัดอีกครั้งหนึ่ง
นายธานี พิกุลทอง ผู้อำนวยการสำนักงานพระพุทธศาสนา จังหวัดนครปฐม กล่าวว่า สำหรับการจับนายเรืองชัยก็เป็นการจับมาหลายครั้งแล้วซึ่งก็ได้มีการแอบไปบวชกลับเข้ามาอยู่ในผ้าเหลืองอีก ในครั้งนี้ทางสำนักงานพระพุทธศาสนาจังหวัดนครปฐม จะได้มีการทำบันทึกและได้ส่งเอกสารไปยังเจ้าคณะปกครอง ทุกระดับชั้นและสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติเพื่อให้ลงทะเบียนขึ้นชื่อของนายเรืองชัยว่าเป็นบุคคลที่ไม่สามารถบวชได้อีกต่อไป เนื่องจากมีการกระทำให้เสื่อมเสียและประพฤติตนไม่เหมาะสมอยู่บ่อยครั้งด้วย