กมธ.พลังงาน เปิดกางแนวทางแก้ไขปัญหาค่าไฟฟ้าแพง

กมธ.พลังงาน เปิดกางแนวทางแก้ไขปัญหาค่าไฟฟ้าแพง

44305 มี.ค. 68 19:28   |     ข่าวเวิร์คพอยท์

นายวรรณรัตน์ ชาญนุกูล สส.บัญชีรายชื่อพรรคชาติพัฒนา ในฐานะรองประธานคณะกรรมาธิการการพลังงาน แถลงผลการศึกษาแนวทางแก้ไขปัญหาค่าไฟฟ้าแพงตามญัตติของสภา

(5มี.ค.68) นายวรรณรัตน์ ชาญนุกูล สส.บัญชีรายชื่อพรรคชาติพัฒนา ในฐานะรองประธานคณะกรรมาธิการการพลังงาน พร้อมด้วย คณะอนุกมธ.พิจารณาศึกษาญัตติแก้ไขปัญหาค่าไฟฟ้าแพง แถลงผลการศึกษาแนวทางแก้ไขปัญหาค่าไฟฟ้าแพงตามญัตติของสภาว่า ขณะนี้คณะ กมธ. ได้พิจารณาเรื่องดังกล่าวเสร็จสิ้นแล้ว โดยเห็นควรเสนอมาตรการ แนวทาง และข้อสังเกต เพื่อเสนอให้รัฐบาลและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง พิจารณาดำเนินการแก้ไขปัญหาค่าไฟฟ้าแพงให้กับประชาชนผู้บริโภค ดังนี้


1. การยกเว้นภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) สำหรับผู้ใช้ไฟฟ้าทุกประเภท ซึ่งจากผลการพิจารณาศึกษาคาดว่าจะสามารถลดค่าไฟฟ้าได้ 0.3224 บาทต่อหน่วย


2. การทบทวนและปรับปรุงเงื่อนไขการสนับสนุนการรับซื้อไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียนในรูปแบบ Adder และ Feed in Tariff (FiT) ในกลุ่มผู้ผลิตไฟฟ้ารายเล็ก (SPP) และกลุ่มผู้ผลิตไฟฟ้าขนาดเล็กมาก (VSPP) เพื่อให้การอุดหนุนการรับซื้อไฟฟ้าในรูปแบบดังกล่าวสะท้อนต้นทุนที่แท้จริง ซึ่งหากสามารถทบทวนและปรับปรุงเงื่อนไขการรับซื้อไฟฟ้าดังกล่าวได้จะสามารถลดค่าไฟฟ้าได้ 0.1700 บาทต่อหน่วย


3. นำเงินรายได้ค่าภาคหลวงและส่วนแบ่งกำไรของรัฐในส่วนของภาคไฟฟ้ามาลดต้นทุนค่าเชื้อเพลิงในการผลิตไฟฟ้าให้แก่ประชาชน โดยจากผลการพิจารณาศึกษาคาดว่าจะสามารถลดค่าไฟฟ้าลงได้ 0.1255 บาทต่อหน่วย


4. กำหนดให้หน่วยงานที่ใช้ไฟฟ้าสาธารณะ (Street Lighting) เป็นผู้รับผิดชอบจัดหางบประมาณมาจ่ายค่าไฟฟ้าเอง เพื่อลดภาระที่ประชาชนต้องแบกรับในปัจจุบัน ซึ่งจากผลการพิจารณาศึกษาคาดว่าจะสามารถลดค่าไฟฟ้าได้ 0.1032 บาทต่อหน่วย


5. ปรับลดอัตราเงินนำส่งคืนรัฐของการไฟฟ้าทั้งสามแห่งจากร้อยละ 50 ลดลงเหลือร้อยละ 20 เพื่อนำส่วนต่างมาปรับลดค่าไฟฟ้าให้แก่ประชาชน ซึ่งคาดว่าจะสามารถลดค่าไฟฟ้าลงได้ 0.0848 บาทต่อหน่วย


6. ทบทวนสัดส่วนการนำเข้า LNG แบบสัญญา Long -Term ต่อสัญญาแบบ Spot LNG ให้เหมาะสมเพื่อลดต้นทุนค่าก๊าซธรรมชาติ ซึ่งคาดว่าจะสามาลดค่าไฟฟ้าได้ 0.0626 บาทต่อหน่วย


7. ปรับลดเกณฑ์อัตราภาษีเงินได้นิติบุคคลที่ใช้ในการคำนวณรายได้ที่พึงได้รับของการไฟฟ้าให้เป็นไปตามประมวลรัษฎากรจากร้อยละ 30 ลดลงเหลือร้อยละ 20 ซึ่งจากผลการพิจารณาศึกษาจะสามารถลดค่าไฟฟ้าได้ 0.0174 บาทต่อหน่วย


8. จัดตั้งคลังกักเก็บ LNG เป็นเขตปลอดอากร เพื่อให้การนำเข้า LNG เกิดการใช้ประโยชน์สูงสุด ลดการนำเข้าก๊าซธรรมชาติแบบเร่งด่วน (Prompt Cargo) ในลักษณะ Spot LNG ที่มีราคาสูง และสามารถให้สิทธิในการยืม - คืน ระหว่าง Shipper แต่ละรายได้ โดยไม่ต้องเสียภาษี ซึ่งคาดว่าหากสามารถจัดตั้งคลังกักเก็บ LNG เป็นเขตปลอดอากรจะสามารถลดค่าไฟฟ้าได้ 0.0048 บาทต่อหน่วย


ดังนั้น หากรัฐบาลสามารถดำเนินการตามมาตรการต่าง ๆ ทั้ง 8 มาตรการให้เป็นผลสำเร็จในภาพรวมจะสามารถลดราคาค่าไฟฟ้าให้ถูกลงได้ประมาณ 0.8907 บาทต่อหน่วย ปัจจุบันอัตราค่าไฟฟ้างวดเดือนมกราคม - เมษายน 2568 อยู่ที่ระดับ 4.15 บาทต่อหน่วย (ไม่รวมภาษีมูลค่าเพิ่ม) เมื่อรวมภาษีมูลค่าเพิ่มแล้วจะมีอัตราค่าไฟฟ้าเท่ากับ 4.4405 บาท ต่อหน่วยนั้น จะสามารถลดลงมาได้ไม่น้อยกว่า 1.8588 บาทต่อหน่วย โดยจะทำให้อัตราค่าไฟฟ้าหลังหักตามมาตรการ ลดลงเหลือ 3.5817 บาท ต่อหน่วย (ไม่มีการคิดภาษีมูลค่าเพิ่ม) อันจะเป็นการช่วยลดภาระค่าครองชีพและบรรเทาความเดือดร้อนของประชาชนลงได้อย่างเป็นรูปธรรม


ทั้งนี้การลดค่าไฟฟ้าตามมาตรการดังกล่าวข้างต้น จากผลการศึกษาคาดว่าจะเกิดผลกระทบเชิงบวกต่อเศรษฐกิจของประเทศ อย่างไรก็ตามแนวทางในการปรับลดค่าไฟฟ้าเพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดต่อเศรษฐกิจ และเพื่อไม่ให้ส่งผลต่อเสถียรภาพด้านการคลัง รัฐบาลจึงควรมีแนวทางอย่างเป็นรูปธรรมในการเพิ่มการจัดเก็บรายได้จากแหล่งอื่น เพื่อนำมาชดเชยรายได้ในส่วนที่ลดลง


นอกจากการดำเนินการตามมาตรการดังกล่าวข้างต้นแล้ว คณะกมธ. มีข้อสังเกตให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องพิจารณาดำเนินการในด้านต่าง ๆ ดังนี้


  1. ปรับปรุงโครงสร้างราคาไฟฟ้าให้มีความเหมาะสม
  2. บริหารจัดการก๊าซธรรมชาติสำหรับผลิตไฟฟ้าให้มีประสิทธิภาพ
  3. ส่งเสริมการใช้พลังงานหมุนเวียนให้มากยิ่งขึ้น
  4. บริหารจัดการการเดินเครื่องโรงไฟฟ้าให้มีประสิทธิภาพ
  5. จัดทำแผน PDP ให้สอดคล้องกับสถานการณ์ในปัจจุบัน
  6. เปิดตลาดไฟฟ้าเสรีของประเทศไทยอย่างเป็นธรรม


ข่าวเวิร์คพอยท์23

TAGS:

ข่าวที่เกี่ยวข้อง