นายอำเภอประชันหน้า เจ้าเมืองอมตะมหานคร แห่งลัทธิประหลาด สีรุ้ง ยันไม่เคยชวนลงทุนเงินออนไลน์
นายอำเภอประชันหน้า เจ้าเมืองอมตะมหานคร แห่งลัทธิประหลาด สีรุ้ง ยันไม่เคยชวนลงทุนเงินออนไลน์
นายอำเภอปรางค์กู่ สนธิกำลังเจ้าหน้าที่ตำรวจ ฝ่ายปกครอง ลุยตรวจสอบ ลัทธิประหลาด สีรุ้ง หลังมีผู้เสียหายร้องเรียน อาจจะถูกหลอกลวง ขณะที่เจ้าเมือง ยันไม่เคยมีการชักชวนมาลงทุน เป็นเรื่องเข้าใจผิด ส่วนสมาชิกนำที่ดินไปขายนั้น ยอมรับว่า หนี้สินเยอะ จึงขอให้ช่วยเหลือ ไม่ได้บังคับแต่เป็นการมาช่วยกันพัฒนาสถานที่แห่งนี้
จากกรณีที่ มีกลุ่มที่ตั้งตนเป็นลัทธิประหลาด อยู่ในพื้นที่อำเภอปรางค์กู่ พยายามใช้วิธีการในการล่อลวงให้คนผู้หลงเชื่อ นำเงินไปลงทุน และหลงเชื่อด้วยความเต็มใจ นอกจากนั้น ยังมีพฤติกรรม คำพูด และบทสวดที่ดูประหลาด ทำให้ครอบครัวของผู้ที่เป็นสมาชิกในลัทธิประหลาดนี้ ทนไม่ไหว ไปแจ้งความที่สถานีตำรวจภูธรปรางค์กู่ เพื่อให้เจ้าหน้าที่ตำรวจดำเนินการในเรื่องนี้ ตามที่มีการนำเสนอข่าวไปก่อนหน้านี้นั้น
(24 ต.ค.67) ความคืบหน้าล่าสุด ผู้สื่อข่าวรายงานว่า นายวิทยา ไชยเดชกำจร นายอำเภอปรางค์กู่ พร้อมด้วย พ.ต.อ.ขวัญเมือง โกสุมา ผกก.สภ.ปรางค์กู่ พร้อมด้วยกำลังเจ้าหน้าที่ตำรวจ ฝ่ายปกครอง ผู้นำองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน ลงพื้นที่ ตำบลโพธิ์ศรี อำเภอโพธิ์ศรี จังหวัดศรีสะเกษ ซึ่งเป็นสถานที่ตั้งลัทธิ ที่ชาวบ้านเรียกกันว่า ลัทธิสีรุ้ง อยู่บริเวณกลางทุ่งนา
ภายในพื้นที่ส่วนบุคคลบนพื้นที่ 23ไร่ ของนายกรันยา หรือ อดีตพระกรันยา ในอดีตพื้นที่ดังกล่าว เคยเป็นที่ตั้งที่พักสงฆ์ก่อนถูกเจ้าหน้าที่สั่งปิดสำนักสงฆ์ โดยปัจจุบันปรับสถานที่ดังกล่าว มาใช้ส่วนบุคคล ในการตั้งลัทธิ หรือเมืองอมตะมหานคร ที่มีสมาชิกประมาณ 40 คน
เมื่อเจ้าหน้าที่เดินทางไปถึงประตูทางเข้า ก่อนที่จะมุ่งสู่ประตูหลักที่จะเข้าไปภายในลัทธิ มีการติดธงสีรุ้ง หลากสี และป้ายยินดีต้อนรับ และป้ายที่มีชื่อว่า เมืองอมตะมหานคร เดินผ่านเส้นทางกลางทุ่งนาระยะทางประมาณ 500 เมตร จะมีประตูที่จะเข้าสู่ภายในลัทธิ ซึ่งมีการปิดประตูอย่างแน่นหนา ติดป้ายสีแดงขนาดใหญ่อยู่ข้างบน มีข้อความว่า
"อมตะมหานคร" มีสมาชิกกลุ่มลัทธิสวมชุดแต่งกายเสื้อ กางเกง และหมวกหลากสี คล้ายสีรุ้ง ยืนสังเกตการณ์อยู่และห้ามทุกคนเข้าไปภายในพื้นที่ โดยอ้างว่าเป็นพื้นที่ส่วนบุคคล และห้ามทุกคนบุกรุก มีการบันทึกวิดีโอเจ้าหน้าที่ทุกคนที่ลงพื้นที่ พร้อมข่มขู่ว่าใครบุกรุก จะดำเนินการฟ้องทุกคนที่บุกรุก นายอำเภอ ใช้เวลาเจรจากับผู้แทนของกลุ่มลัทธิประมาณ 20 นาที จนสุดท้ายจึงสามารถเข้าพบกับ เจ้าของลัทธิได้ ซึ่งปัจจุบันกลุ่มลัทธินี้ จะเรียก บุคคลดังกล่าวว่า ท่านเจ้าเมือง
เมื่อเข้าผ่านประตูเข้าไปภายใน จะพบพื้นที่เป็นสถานที่พักที่ทำเป็นสีรุ้ง ซึ่งขณะเดินเข้าไปมีกลุ่มลัทธิสั่งการให้คนนอกทุกคนห้ามบันทึกภาพตลอดการเดินเข้ามาภายใน จนกระทั่งก่อนที่จะพบเจ้าเมือง ได้มีการนำเก้าอี้มาวางไว้ และให้เจ้าหน้าที่รออยู่จุดดังกล่าว เพื่อพบกับ นายกรันยา หรือ อดีตพระกรันยา
จากนั้น เจ้าเมืองจึงเดินทางออกมาด้วยไม้เท้า ทราบสาเหตุมาจากเกิดอุบัติเหตุจากเสาไฟฟ้าล้มทับเท้าได้รับบาดเจ็บ จึงต้องใช้ไม้เท้าช่วยพยุง หลังจากนั้นการเจรจา ได้ร่วมขึ้น นายอำเภอปรางค์กู่ และผู้กำกับสถานีตำรวจภูธรปรางค์กู่ พร้อมกับญาติของผู้เสียหายร่วมเจรจา ขณะมีการเจรจา กลุ่มลัทธิ ได้มีการตะโกนห้ามบันทึกภาพ พูดตัดบทหากไม่ถูกใจกลุ่มตัวเอง และสนับสนุน คำพูดของนายกรันยา ดั่งเป็นผู้วิเศษ
นายกรันยา ได้ให้ข้อมูลกับเจ้าหน้าที่ว่า สิ่งที่กลุ่มนี้กระทำไม่มีเรื่องใดผิด ทุกคนปฏิบัติตนอยู่ในศีล 5 ไม่กินเนื้อสัตว์ อยู่ในพื้นที่ส่วนตัว ไม่มีการกักขังหน่วงเหนี่ยวใครไว้ มีแต่ไล่ให้กลับ และเราไม่ได้สร้างความเดือดร้อนให้ใคร ส่วนเงินทองที่มีสมาชิกนำที่ดินไปขายนั้น ตนไม่ทราบในเรื่องนี้ แต่ยอมรับว่า หนี้สินเยอะ จึงขอให้ช่วยเหลือ ไม่ได้เป็นการบังคับแต่เหมือนเป็นการมาช่วยกันพัฒนาสถานที่แห่งนี้ ส่วนการลงทุนไซเบอร์นั้น ไม่ใช่ความเป็นจริง และการที่คนภายนอกมองว่าคำพูดที่ใช้พูดคุยกันเป็นเรื่องลามก ก็เป็นสิ่งที่ทุกคนก็พูดกันปกติ จึงอยากให้นำเสนอข้อเท็จจริงและให้ความเป็นธรรมกับพวกตนด้วย
ขณะที่แม่ของผู้เสียหายทั้ง 2 ครอบครัว จะออกมาชี้แจงว่า นำเงินมาให้เจ้าเมืองจริง แต่เป็นการให้โดยไม่ได้ถูกบังคับ และที่นำมาให้ก็เป็นสมบัติของตน ซึ่งตนมีสิทธิ์อยากจะให้ใครก็ได้ และตนต้องการทำเพราะอยู่ที่นี่แล้วสบายใจ ลูกก็พวกตนก็ได้สร้างชีวิตให้เขาแล้ว บั้นปลาย ต้องการอยู่ที่นี่แล้วมีความสุข ก่อนที่จะมีการเจรจาเพิ่มเติม โดยใช้เวลาประมาณ 3 ชั่วโมง การเจรจาจึงเสร็จสิ้น
นายธรรมนูญ หนึ่งในผู้ดูแลลัทธิ เปิดเผยว่า พวกตนถูกโจมตีจากสื่อมวลชนในการกล่าวหาว่า เป็นลัทธิประหลาด-ลามก ซึ่งไม่เป็นความจริง และตอนนี้มีกรณีใหม่ คือมีคนมาร้องเรียนว่า แม่ของผู้เสียหาย ซึ่งเป็นสมาชิกในนี้นำที่ดินไปขาย ซึ่งไม่มีใครทราบเรื่องนี้มาก่อน ตลอดจนเรื่องของการกักขังว่า ทั้งไม่ให้เด็กไปโรงเรียน และอิสรภาพในการเข้าออกสถานที่แห่งนี้ ซึ่งไม่เป็นความจริง และอยากให้สื่อนำเสนอข้อมูลให้ถูกต้อง ส่วนในเรื่องของหลักคำสอน คือดำรงอยู่ด้วยศีล ไม่กินเนื้อสัตว์ และปลูกผัก และเครื่องปรุงต่างก็ทำเอง
อีกทั้งในเรื่องของการลงทุนต่างๆ นั้น ไม่มี ส่วนเรื่องการนำที่ดินไปขายนั้น คงต้องให้ครอบครัวไปตกลงกันเองว่า ต้องการทำบันทึกข้อตกลงและแบบใด ส่วนในเรื่องของการคำสอนหรือการพูดคุยที่มีลักษณะพูดเกี่ยวกับอวัยวะเพศเป็นการสอนให้ไม่ผิดลูกผิดเมียกัน และอยู่ในศีลในธรรม และการที่สมาชิกในลัทธิพากันไปเปลี่ยนนามสกุล เป็นนามสกุล รักอมตะ และย้ายที่อยู่เข้ามาภายในลัทธิ ก็ไม่ได้มีการบังคับแต่เป็นการสมัครใจของสมาชิก
ขณะที่นายอำเภอปรางค์กู่ เปิดเผยว่า จากการลงพื้นที่สอบถามแม่ของครอบครัวผู้เสียหายทำให้ทราบว่า ไม่ได้ถูกบังคับขู่เข็ญแต่อย่างใด ซึ่งเงินที่นำมาให้ก็เป็นการนำมาปรับปรุงพื้นที่ แต่จากการตรวจสอบข้อมูลในขณะนี้ยังไม่มีความผิดปกติแต่อย่างใด
ด้าน ผู้เสียหาย ที่เป็นลูกชายของสมาชิกในกลุ่มลัทธิ เปิดเผยว่า ตนมีแม่เพียงคนเดียวและลัทธินี้ ทำให้แม่ของตนเปลี่ยนไปจนกระทั่งทิ้งครอบครัว และทำไมต้องไปเชื่อคนอื่นมากกว่าคนในครอบครัว ที่เขาใช้วาจาหว่านล้อม ซึ่งตนก็ไม่สามารถทำอะไรในจุดนี้ได้ เพียงแต่หาทางที่จะช่วยเหลือแม่ของตนต่อไป
ผู้สื่อรายงานต่อไปว่า ขณะทำข่าวในพื้นที่กลุ่มสมาชิกลัทธิได้พยายามต่อว่าผู้สื่อข่าวว่าเป็นผู้ทำให้สถานที่นี้เกิดความสูญเสีย ก่อนที่จะสลายตัวกลับเข้าสู่ลัทธิต่อไป