สาวกัมพูชา ท้อง 6 เดือน สุดช้ำ! ถูกอดีตสามีทิ้งหอบเงินล้านหนี แถมขับไล่ออกจากบ้าน

สาวกัมพูชา ท้อง 6 เดือน สุดช้ำ! ถูกอดีตสามีทิ้งหอบเงินล้านหนี แถมขับไล่ออกจากบ้าน

75610 ก.ย. 67 16:01   |     ข่าวเวิร์คพอยท์

สาวกัมพูชา ช้ำรัก! เข้าร้อง มูลนิธิรณรงค์ ทวงคืนความยุติธรรมในสังคม ถูกอดีตสามีชาวไทยไม่ได้จดทะเบียนสมรสทิ้ง ขณะที่ตั้งท้อง 6 เดือน ฝ่ายชายหอบเงินที่ร่วมกันสร้างกว่า 1 ล้านบาทหนี หนำซ้ำส่งเอกสารขับไล่ออกจากบ้านที่ซื้อด้วยกัน

(10 ก.ย.67) กรณีที่มีหญิงสาวรายหนึ่งทราบชื่อคือ นางสาวปุม อายุ 30 ปี สาวกัมพูชา ได้ออกมาร้องทุกข์กับทาง นายรณณรงค์ แก้วเพชร ประธานเครือข่ายรณรงค์ทวงคืนความยุติธรรมในสังคม เพื่อขอให้ช่วยเหลือ หลังเจ้าตัวถูกอดีตสามีที่ไม่ได้จดทะเบียนสมรสทิ้งไปเมื่อกลางปีก่อน ขณะที่ตนเองตั้งท้องได้ 6 เดือน รวมไปถึงทางสามีที่เป็นคนไทยกลับหอบเงินที่ร่วมสร้างกว่า 1 ล้านบาทหนี หนำซ้ำยังไล่ออกจากบ้านที่ซื้อด้วยกันเกือบ 5 ล้านบาท พร้อมส่งจดหมายไล่ออกจากบ้าน อ้างว่าตนเอง“เป็นลูกจ้าง” ไม่จ้างแล้วให้ออกจากพื้นที่ไป เจ้าตัวเครียดถึงขั้นป่วยซึมเศร้าจะฆ่าตัวตายแล้วหลายครั้ง


นางสาวปุม อายุ 30 ปี สาวกัมพูชา เดินทางมาที่ ที่ทำการมูลนิธิรณรงค์ทวงคืนความยุติธรรมในสังคม เพื่อให้ข้อมูลกับทางนายรณณรงค์ แก้วเพชร ประธานมูลนิธิฯ พร้อมนำหลักฐานมาให้ดู ก่อนจะเปิดใจทั้งน้ำตาว่า ส่วนตัวรู้จักกับทางนายเจมส์ อายุ 29 ปี ผ่านแอปพลิเคชัน ประมาณปี 2562 - 2563 หรือ 5 - 6 ปีก่อนหน้านี้ 


หลังจากที่มีการนัดเจอกัน และพูดคุยกันก็คบหากันเป็นแฟนได้ 1 ปี ก็เริ่มวางแผนอนาคต ตัดสินใจเช่าแผงสินค้าภายในตลาดผลไม้แห่งหนึ่ง และร่วมกันลงทุนสร้างฐานะ และซื้อบ้านด้วยกัน มูลค่าเกือบ 5 ล้านบาท ตอนนั้นด้วยความที่ตนเองเป็นชาวกัมพูชา จึงไม่สามารถทำเอกสารได้ ทางฝ่ายชายอาสาขอทำเรื่องเอกสารให้ทุกอย่าง ไม่ว่าจะเป็นสัญญาเช่าแผงขายผลไม้ในตลาด รวมถึงสัญญาเช่าซื้อบ้าน เปิดบัญชีธนาคารต่างๆ ด้วยความที่ตนไว้ใจ และฝ่ายชายดูเหมือนคนดี และอยากฝากความหวังไว้ที่ฝ่ายชาย จนตั้งใจจะมีลูกด้วยกัน  


กระทั่งเหตุการณ์ล่าสุด หลังจากใช้ชีวิตมาด้วยกัน 4 ปี และทำอาชีพเก็บเงินด้วยกันเกือบหลักล้าน ช่วงต้นปี 2567 ที่ผ่านมา หลังจากที่ตนเองตั้งครรภ์ได้ประมาณ 1-2 เดือน ยอมรับว่าตอนนั้นเริ่มมีปัญหา มีปากเสียงกัน ก่อนหน้านี้ก็เคยมีปัญหากันแต่เคลียร์กันได้ แต่พอตนเองท้องเริ่มมีเรื่องของฮอร์โมน รวมไปถึงปัญหาเก่าที่ระหองระแหงกัน ทำให้มีปากเสียง และฝ่ายชายเองก็พยายามจะตีตัวออกห่าง รวมไปถึงพยายามขอเลิกมาตลอด แต่ตนเองด้วยความสงสารลูกเลยพยายามยื้อมาตลอด 


กระทั่งเมื่อประมาณปลายเดือนมิถุนายน 2567 ทางฝ่ายชายบอกเลิก และออกจากบ้านไป ในตอนนั้นตนเองยังพยายามจะขอพูดคุย แต่ฝ่ายชายกลับขาดการติดต่อ และมีการโทรมาหา ไล่ตนเองให้ย้ายออกจากบ้านหลังดังกล่าวทันที แต่ตนด้วยความเสียเปรียบเพราะชื่อเป็นของฝ่ายชาย แต่ตนเองเป็นคนผ่อนเดือนละ 10,000 กว่าบาท แต่ทางฝ่ายชายกลับใช้มุมกฎหมายอ้างเป็นชื่อฝ่ายชายไล่ให้ตนเองออก แต่ตนเองขอฝ่ายชายว่าจะออกให้หลังจากคลอดลูก 


รวมไปถึงฝ่ายชายเองก็มีการไปบอกเลิกสัญญาแผงขายของที่ตลาดแห่งหนึ่ง โดยที่ตัดช่องทางการทำมาหากินของตนเอง ตนเองก็ไม่มีที่ทำกิน ขาดรายได้ หนำซ้ำยังต้องแบกรับค่าใช้จ่ายส่วนตัวทั้งเรื่องของการตั้งครรภ์ ภาระค่าใช้จ่ายส่วนตัวเอง 


หลังจากนั้นตนเองเห็นภาพสตอรี่ทางไอจีของฝ่ายชาย ที่ไปเที่ยวกับหญิงสาวรายหนึ่ง พร้อมลงรูปไปนั่งกินชาบูด้วยกันช่วงเดือนกรกฎาคม 2567 หลังแยกทางได้ 1 เดือน ตนเองก็ทักไปหาทางหญิงสาวรายดังกล่าว ทางฝ่ายหญิงกลับไม่ทราบเรื่อง และถูกฝ่ายชายหลอกเช่นกัน ซึ่งในตอนนั้นฝ่ายหญิงก็ขอโทษตนเอง


ที่เจ็บใจหนักสุด และเป็นปมเหตุให้ตนเองต้องออกมาร้องขอความเป็นธรรมคือ ทางฝ่ายชายได้มีการส่งหนังสือลักษณะเป็นเอกสาร ที่ระบุข้อความขอให้ตนเองย้ายออกจากบ้าน แต่ในเอกสารนั้นฝ่ายชายกลับระบุว่าตนเองเป็นลูกจ้าง พร้อมกับข้อความขับไล่ให้ตนเองออกจากบ้านหลังดังกล่าว อ้างว่าตนเองไม่ได้เป็นพนักงานหรือลูกจ้างของฝ่ายชายแล้ว พร้อมระบุว่าจะมีการตัดน้ำ และตัดไฟ พร้อมบอกเลิกมิเตอร์ไฟฟ้า และขอให้ออกจากบ้านหลังดังกล่าวภายในสิ้นเดือน สิงหาคม 2567 


ทันทีที่ตนเองเห็นเอกสารฉบับดังกล่าวนั้น ยอมรับว่า รู้สึกเจ็บใจ และมองว่าเป็นการไม่ให้เกียรติในฐานะแม่ของลูก เพราะตนเองไม่ได้เป็นลูกจ้างของฝ่ายชาย แต่เป็นภรรยาของฝ่ายชาย รวมไปถึงที่ผ่านมาตนเองดูแล และช่วยฝ่ายชายมาตลอด แต่วันนี้กลับเล่นข้อกฎหมาย และพยายามให้ตนเองออกไปจากชีวิต 


วันนี้ตนเองอยากจะเรียกร้อง พร้อมยืนยันว่าตนเองไม่ได้ต้องการทรัพย์สมบัติที่ทางฝ่ายชายเอาไป แต่ตนเองอยากให้ทางฝ่ายขายเข้ามาไกล่เกลี่ย และพูดคุย เพราะตนเองต้องการให้ลูกในท้องมีพ่อ และให้ฝ่ายชายรับรองบุตรให้สัญชาติลูกของเขา ตนเองพร้อมที่จะเลี้ยงดู และรับผิดชอบเอง แต่อยากให้เข้ามาแสดงความรับผิดชอบเท่านั้น


หลังจากนี้ตนเองไม่ขอกลับไปอยู่กินกับฝ่ายชายอีก เพราะที่ผ่านมาตนเองยอม เพราะรัก แต่วันนี้ เมื่อฝ่ายชายกล้าที่จะไล่ตนเองออกจากบ้าน และให้ตนเองออกมาเช่าห้องเช่า รายเดือน 8,000 บาทอยู่ ตนเองก็พอจะเข้าใจ


ด้านนายรณณรงค์ แก้วเพ็ชร์ ประธานมูลนิธิรณรงค์ทวงคืนความยุติธรรมในสังคม บอกว่า แนวทางหลังจากนี้ทางมูลนิธิฯ จะต้องรอทางฝ่ายชายติดต่อกลับมา และจะมอบหมายให้ นายรภัสสิทธิ์ ภัทรสิริชัยสิน รองประธานฯ เป็นผู้นัดเจรจาไกล่เกลี่ย เพราะเชื่อว่าเป็นเรื่องภายในครอบครัวไม่ต้องถึงขั้นฟ้องร้องต่อศาลกัน ก็น่าจะสามารถเจรจาไกล่เกลี่ยถึงการแบ่งทรัพย์สินที่ทั้งคู่หามาร่วมกันในระหว่างที่อยู่กินด้วยกัน และเรื่องการรับผิดชอบลูกในครรภ์ ที่ทางฝ่ายชายจะต้องมาเซ็นรับรองบุตรในขณะที่คลอดเด็กออกมาแล้ว เพราะจะมีเรื่องสิทธิ์ที่ตามมาหลังจากนี้ เด็กจำเป็นจะต้องมีสัญชาติเพื่อได้สิทธิ์ต่างๆในประเทศ และมีโอกาสได้เรียนตามสิทธิ์การศึกษาขั้นพื้นฐาน


หลังการแถลงข่าว นายรภัสสิทธิ์ รองประธานมูลนิธิรณรงค์ทวงคืนความยุติธรรมในสังคมได้โทรศัพท์ติดต่อไปยังฝ่ายชาย ซึ่งเป็นอดีตแฟนของผู้เสียหาย ซึ่งทางฝ่ายชายรับสาย และตอบเพียงสั้นๆ อ้างว่าจะติดต่อกลับมาทางมูลนิธิในช่วงเย็น เพื่อที่จะเจรจาไกล่เกลี่ยกัน จากนั้นก็วางสายโทรศัพท์ไป.

TAGS:

ข่าวที่เกี่ยวข้อง