“มงคล”โจรลักมิเตอร์ประปาเกมแล้ว “เอ” คู่หูยังหายตัว

วันที่ 13 ธันวาคม 2567 พ.ต.อ.อภิชาต จันทร์สำเร็จ ผู้กำกับการ สภ.ท่าศาลา , พ.ต.ท.สมชาย มวยดี รองผู้กำกับการ สืบสวน , พ.ต.ท.นรากร เอียดช่วย รองผู้กำกับการ ป้องกันปราบปราม พร้อมกำลังเจ้าหน้าที่ตำรวจชุดสืบสวน และ สายตรวจ คุมตัว นายมงคล (สงวนนามสกุล) อายุ 29 ปี หนึ่งในผู้ต้องหาชโมยมิเตอร์ประปาในหลายพื้นที่ ของ อ.ท่าศาลา จ.นครศรีธรรมราช และใกล้เคียง โดยมีคู่หูคือ “เอ” (สงวนชื่อ-สกุลจริง) ซึ่งขณะนี้กำลังหลบหนี โดยเจ้าหน้าที่ได้คุมตัวนายมงคล ไปทำแผนประกอบคำรับสารภาพก่อนเป็นรายแรก

โดยช่วงเช้าที่ผ่านมา หลังจากนายมงคล หลบหนีเจ้าหน้าที่หายตัวไปตั้งแต่เมื่อวานนี้ ได้ย่ามใจย้อนกลับมาที่ขนำในท้องที่หมู่ 5 ต.ไทยบุรี จุดที่เจ้าหน้าที่ได้เข้าตรวจยึดของกลางเป็นมิเตอร์ประปา และอุปกรณ์จำนวนมาก ซึ่งสายสืบแจ้งว่า พบเห็นนายมงคลย้อนกลับมาที่ขนำ เจ้าหน้าที่จึงย้อนรอยกลับไปอีกครั้ง เข้าทำการจับกุมตัวไว้ได้ พร้อมยาบ้าจำนวนหนึ่ง นายมงคล อ้างว่า มียาบ้าไว้เพื่อเสพ เบื้องต้น เจ้าหน้าที่ได้แจ้งข้อหาความผิดเกี่ยวกับ พ.ร.บ.ยาเสพติดให้โทษ ไว้ก่อน ต่อมา จึงคุมตัวไปสอบข้อมูลการโจรกรรมมิเตอร์ประปาร่วมกับนายเอ คู่หู(ยังหลบหนีอยู่)

หลังจากที่สอบสวนได้ไม่นาน นายมงคล ยอมรับสารภาพว่า ได้ก่อเหตุโจรกรรมมิเตอร์ประปาในจุดต่างๆของ อ.ท่าศาลา ราว 30 จุด ไม่นับในพื้นที่ใกล้เคียง เช่นในเขตเทศบาลนครนครนครศรีธรรมราช และเขตเทศบาลเมืองปากพูน โดยยินดีนำชี้ที่เกิดเหตุทำแผนประกอบคำรับสารภาพ มีทั้งจุดก่อเหตุเพียงคนเดียวและก่อเหตุร่วมกับคู่หูคือ นายเอ โดยเจ้าหน้าที่ต้องใช้เวลากว่า 3 ชั่วโมง มีจุดนำชี้รวม 30 จุด ขณะเดียวกันท้องที่ สภ.เมืองนครศรีธรรมราช ได้อายัดตัวเพิ่มเติมอีก ไม่น้อยกว่า 10 คดี ผู้ต้องหาสารภาพด้วยว่า หลังจากได้มาแล้ว จะนำมาชำแหละนำทองเหลือง ไปขายได้คราวละ 700-1,200 บาท

ขณะที่ พนักงานสอบสวน สภ.ท่าศาลา ได้เร่งทำสำนวนคดีต่างกรรมต่างวาระ ฐานลักทรัพย์ในเวลากลางคืนผู้กระทำต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 5 ปี หรือปรับไม่เกิน 100,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ หากทรัพย์สินนั้นเป็นของทางราชการ หากกรรมที่มีผู้กระทำความผิดตั้งแต่ 2 คนขึ้นไป หรือกระทำในเวลากลางคืน จะมีโทษหนักขึ้น ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่ 1 – 7 ปี และปรับตั้งแต่ 20,000 – 140,000 บาท และผู้กระทำผิดต้องชดใช้ค่าสินไหมทดแทนทรัพย์สินที่เสียหายและสูญหายนั้นด้วย โดยขณะนี้หากนับเรียงกระทงต้องระวางโทษจำคุกสูงสุดถึง 210 ปีแล้ว แต่ทั้งนี้ผลคดีจะขึ้นอยู่กับการพิจารณาในชั้นศาล  - ข่าวเวิร์คพอยท์รายงาน