สาวใช้ร้อง! นายจ้างทารุณกรรม ใช้หวายฟาดหลังเกือบ 100 ครั้ง สาดน้ำแกง ตบตีบริเวณใบหน้า

สาวใช้ร้อง! นายจ้างทารุณกรรม ใช้หวายฟาดหลังเกือบ 100 ครั้ง สาดน้ำแกง ตบตีบริเวณใบหน้า

154726 ก.พ. 68 12:59   |     ข่าวเวิร์คพอยท์

สาวใช้ร้อง! นายจ้างทารุณกรรม ใช้หวายฟาดหลังเกือบ 100 ครั้ง สาดน้ำแกง ตบตีบริเวณใบหน้า หลบหนีออกมากลับถูกแจ้งความลักทรัพย์-ออกหมายจับ

(26 ก.พ.68) จากกรณี สาวร้อง “กัน จอมพลัง” หลังจากถูกนายจ้างทารุณบังคับให้ถอดเสื้อผ้า ก่อนจะมีการใช้หวายฟาดที่หลังเกือบ 100 ครั้ง และทำร้ายร่างกายด้วยการสาดน้ำแกง ตบตีบริเวณใบหน้า จนเป็นเหตุทำให้รับบาดเจ็บ หลังจากนั้นผู้เสียหายได้หนีออกจากบ้าน ก่อนที่จะถูกนายจ้างแจ้งความข้อหาลักทรัพย์ โดยอ้างว่า ถูกผู้เสียหายขโมยทอง จนเป็นเหตุทำให้ผู้เสียหายต้องถูกดำเนินคดี นั้น 


ล่าสุด นายกัณฐัศว์ พงศ์ไพบูลย์เวชย์ หรือ "กัน จอมพลัง" พานางสาวบี (นามสมมติ) ผู้เสียหาย อายุ 22 ปี ซึ่งเป็นอดีตสาวรับใช้ของบ้านหลังหนึ่งย่านบางกรวย เดินทางไปที่ สภ.บางกรวย เพื่อติดตามความคืบหน้าคดีที่ถูกนายจ้างทำร้ายร่างกาย ทารุณกรรม หลังเกรงว่าจะไม่ได้รับความเป็นธรรม เพราะนายจ้างขู่ว่ารู้จักกับตำรวจ สภ.บางกรวย รวมถึงประสานตำรวจให้ช่วยติดต่อพยานที่ยังเป็นสาวรับใช้อยู่ในบ้านหลังดังกล่าว หลังขาดการติดต่อไป เกรงจะไม่ปลอดภัย


โดยนางสาวบี ผู้เสียหาย เผยว่า ก่อนหน้านี้นายจ้างได้ไปหาคนทำงานที่หมู่บ้านตนเอง และได้หลานสาวของตนเองไปทำงานก่อน แต่ทำได้พักเดียวก็กลับมา ไม่ได้ไปทำงานต่อ แต่หลานสาวก็ไม่ได้เล่าสาเหตุให้ฟัง จากนั้นตนเองจึงได้ติดต่อไปยังนายจ้าง ว่าต้องการรับสาวใช้คนใหม่หรือไม่ จนได้เข้าทำงานเมื่อ 5 ปีก่อน โดยตอนแรกตกลงเงินเดือนว่า 6 เดือนแรก จะได้เงินเดือนละ 6,000 บาท จากนั้นจะได้เดือนละ 9,000 บาท แต่นายจ้างกลับจ่ายเงินให้แค่ 6 เดือนแรก หลังจากนั้นก็ไม่จ่ายอีกเลย โดยอ้างว่าจะเก็บไว้ให้เป็นเงินก้อนใหญ่ และให้ทีเดียวตอนตนเองกลับบ้าน ซึ่งยอดล่าสุดที่ทวงถามไปเมื่อเดือนพฤศจิกายน ปี 2567 อยู่ที่ประมาณ 2 แสน 7 หมื่นบาท ตนเองจึงเชื่อใจคิดว่าจะเก็บไว้ให้จริง แต่ก็ไม่เคยได้เงินจำนวนดังกล่าว


ต่อมาเดือนตุลาคม ปี 2567 ตนเองก็เริ่มถูกนายจ้างทำร้ายร่างกาย ด้วยการทุบตีศีรษะ ให้ถอดเสื้อและเอาไม้ฟาดกว่า 100 ครั้ง เพราะนายจ้างให้ตนเองไลฟ์สด ขายของออนไลน์ เนื่องจากนายจ้างทำธุรกิจขายของแบรนด์เนม แต่ตนเองทำงานดังกล่าวไม่เสร็จ ส่งผลกระทบต่อเพื่อนร่วมงาน เช่น ต้องแพ็คสินค้าส่งลูกค้า นอกจากนี้ยังเคยถูกน้ำแกงสาด เพราะตนเองทำกับข้าวน้อย ไม่พอให้คนในบ้านกิน ทำให้นายจ้างไม่พอใจ นอกจากนี้นายจ้างยังยึดโทรศัพท์และบัตรประชาชน ไม่ให้ติดต่อญาติพี่น้อง จนกระทั่งครั้งหนึ่งตนเองเคยแอบหยิบโทรศัพท์ของนายจ้างโทรหาญาติ แต่ถูกนายจ้างจับได้ และแจ้งความลงบันทึกประจำวันกล่าวหาว่าตนเองลักทรัพย์โทรศัพท์ไปโทรหาญาติโดยไม่ได้รับอนุญาต 


ซึ่งเหตุทำร้ายร่างกายนั้น มีคลิปกล้องวงจรปิดภายในบ้านเป็นหลักฐาน แต่ตนเองไม่กล้าแจ้งความ เพราะนายจ้างขู่ว่ารู้จักกับตำรวจ สภ.บางกรวย และเคยเห็นนายจ้างนำของแบรนด์เนมมาให้ตำรวจด้วย แต่ตนเองไม่รู้ว่าตำรวจคนนั้นเป็นใคร และตอนแรกก็คิดว่าจะหนีออกมาดีหรือไม่ เพราะตนเองก็ไม่มีเงิน


กระทั่งล่าสุดวันที่ 10 กุมภาพันธ์ ตนเองทนไม่ไหว ตัดสินใจหนีออกมาจากบ้านนายจ้าง เพราะเกรงว่าจะไม่มีชีวิตรอด และได้แอบหยิบบัตรประชาชนของตนเองจากตู้ในบ้านออกมาด้วย แต่กลับถูกนายจ้างนำกล้องวงจรปิดขณะที่ตนเองหยิบบัตรประชาชน มาใส่ร้ายว่าตนเองกำลังหยิบทอง 1 บาท ออกมาด้วย แต่ตนเองยืนยันว่าไม่ได้ขโมยทรัพย์สินใดๆ ของนายจ้างออกมา ส่วนทอง 1 บาท นั้นนายจ้างเป็นคนให้ตนเองเอาไปขาย ได้เงินมา 30,000-40,000 บาทเพื่อนำเงินมาช่วยเหลือคดีของเพื่อนนายจ้าง โดยตนเองก็ได้นำเงินเข้าบัญชีนายจ้างไปแล้ว


ด้าน กัน จอมพลัง เปิดเผยว่า คดีนี้มีพิรุธหลายอย่าง ตั้งแต่ที่นายจ้างแจ้งความดำเนินคดีกับผู้เสียหาย เรื่องลักทรัพย์ทอง 1 บาท และตำรวจ สภ.บางกรวยทำงานเร็วมาก ใช้เวลาเพียง 4 วัน ก็ออกหมายจับแล้ว และส่งหมายไปที่บ้านนายจ้าง เพราะผู้เสียหายอยากเรียนหนังสือ นายจ้างจึงให้นำชื่ออใส่ไว้ในทะเบียนบ้านนายจ้าง โชคดีที่มีเพื่อนสาวรับใช้เห็นหมายและส่งข่าวให้ผู้เสียหายทราบ ผู้เสียหายจึงประสานมาที่ตนเอง เพื่อให้พาเข้ามอบตัว ตนเองจึงได้ประสานทนายและตำรวจ สภ.บางกรวยมาแล้ว แต่ไม่ทราบว่าเกิดอะไรขึ้น ตำรวจกลับไปจับกุมผู้เสียหายที่ย่านสายไหม โดยอ้างว่าไม่ทราบว่าผู้เสียหายจะมอบตัว น่าจะเกิดการสื่อสารผิดพลาด จากนั้นตนเองก็ได้ประสานกระทรวงยุติธรรมให้มาประกันตัวผู้เสียหาย แต่กลับถูกนายจ้างชิงมาประกันตัวก่อน และตำรวจก็ให้ประกันตัวในชั้นพนักงานสอบสวน โดยอ้างว่าผู้เสียหายยินยอม 


ส่วนทองที่นายจ้างบอกว่าผู้เสียหายเอาไป ตำรวจก็ไม่เจอของกลางที่ตัวผู้เสียหาย แต่เป็นนายจ้างที่ให้ผู้เสียหายเอาทองไปขาย และได้นำเงินเข้าบัญชีนายจ้างแล้ว ซึ่งก็สามารถตรวจสอบกับทางธนาคารได้ ดังนั้นถ้าผู้เสียหายไม่ได้เอาของไปจริง จะเป็นการยัดคดีให้ผู้เสียหายหรือไม่ 


ส่วนประเด็นทำร้ายร่างกายนั้น ก็ได้ให้ผู้เสียหายแจ้งความกลับนายจ้างฐานทำร้ายร่างกายไปแล้ว แต่เมื่อสอบถามทางตำรวจ สภ.บางกรวยว่าจะออกเป็นหมายเรียก หรือหมายจับ ก็ได้รับคำตอบว่าจะออกเป็นหมายเรียกก่อน เพราะนายจ้างมีอาชีพมั่นคง มีที่อยู่เป็นหลักแหล่ง ซึ่งตนเองเห็นว่าไม่เท่าเทียม เพราะผู้เสียหายเป็นสาวใช้ถูกออกหมายจับ แต่นายจ้างกลับออกหมายเรียก จึงได้ประสานไปยังผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 1 ก่อนที่ต่อมาตำรวจจะออกเป็นหมายจับ และไปจับนายจ้างที่บ้าน แต่สุดท้ายก็ให้ประกันตัวนายจ้างในชั้นพนักงานสอบสวน ทั้งที่คดีนายจ้างทารุณกรรมลูกจ้างอื่นๆ ที่ตนเองเคยช่วยเหลือ ตำรวจจะไม่ให้ประกันตัวในชั้นพนักงานสอบสวน


ทั้งนี้ จากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น เมื่อช่วงกลางดึกที่ผ่านมามีคนโทรไปหาเพื่อนของผู้เสียหาย ที่ผู้เสียหายหนีไปอยู่ด้วยวันแรก บอกว่าตำรวจจะเข้าบุกค้น ทำให้เกิดความหวาดกลัว และรู้สึกเป็นห่วงพยานอีกคนที่เป็นเพื่อน และยังทำงานเป็นสาวรับใช้ในบ้านนายจ้าง ที่ปัจจุบันขาดการติดต่อไป เกรงจะไม่ปลอดภัย ซึ่งหากช่วยเหลือพยานคนนี้ออกมาได้ และไม่มีงานทำ ตนเองก็พร้อมจะช่วยเหลือ


แต่ตำรวจกลับตามจับและจับน้องขังคุกที่โรงพักโดนยุงกัดทั้งตัว ซึ่งน้องยืนยันไม่ได้เอาทองนายจ้างไป ตนจึงทำงานทางลับเมื่อสัปดาห์ก่อน โดยการไปหา ผกก.สภ.บางกรวย และเอาข้อมูลอีกฝั่งให้ดูว่า น้องโดนเฆี่ยนตีอย่างทารุณ น้องจึงได้แจ้งความที่ตัวเองถูกทำร้ายร่างกายไว้แล้ว 


อย่างไรก็ตามวันนี้ผู้กำกับ และรองผู้กำกับการ สภ.บางกรวย ติดภารกิจ ไม่อยู่รับเรื่อง ทำให้รองผู้กำกับการป้องกันและปราบปราม สภ.บางกรวย รับเรื่องแทน โดยยืนยันจะรายงานผู้บังคับบัญชา และรับดำเนินการทุกอย่างที่ผู้เสียหายยังติดใจ รวมถึงจะส่งสายตรวจไปตรวจสอบพยานที่เป็นสาวใช้อีกคนว่ายังปลอดภัยดีหรือไม่ด้วย

TAGS:

ข่าวที่เกี่ยวข้อง