ขนส่งสายอีสานโอด เศรษฐกิจพ่นพิษ งานฮวบ-รถหยุดวิ่ง 40%
ขนส่งสายอีสานโอด เศรษฐกิจพ่นพิษ งานฮวบ-รถหยุดวิ่ง 40%

ผู้ประกอบการรถขนส่งสินค้าพื้นที่ภาคอีสานโอด เจอพิษเศรษฐกิจกระทบ งานจ้างลดฮวบ จำนวนรถที่เคยรับงานลดไป 40% หรือกว่า 8,000 คัน
(14 มี.ค. 68) นายกิตติศักดิ์ ประเทืองชัยศรี นายกสมาคมขนส่งสินค้าภาคอีสาน ได้เปิดใจกับผู้สื่อข่าวถึงสถานการณ์ของรถบรรทุกขนส่งสินค้าภาคอีสานในขณะนี้ ว่า “ในช่วง 2-3 ปี ผู้ประกอบการรถบรรทุกขนส่งสินค้าภาคอีสานกำลังประสบปัญหาอย่างหนัก รถโดนยึดเป็นจำนวนอย่างมาก อีกทั้งแหล่งเงินทุนไม่ยอมปล่อยสินเชื่อให้กับผู้ประกอบการ โดยให้เหตุผลว่าเศรษฐกิจไม่ดี แต่ไม่มีใครตอบได้อย่างชัดเจนเลยว่า ทำไมเงินจึงไปกองอยู่จุดเดียว ทำไมเงินไม่กระจายออกไป ซึ่งนี่คือภาพในมุมที่ผู้ประกอบการขนส่งสินค้ามองเห็น และข้อเท็จจริง ต้นทุนในการประกอบกิจการขนส่งสินค้าที่ยังเป็นปัญหาหลักๆ ก็คือ เรื่องน้ำมันเชื้อเพลิง เพราะทุกวันนี้ น้ำมันในประเทศแพง ทำให้ประชาชนทุกสาขาอาชีพต้องแบกรับภาระค่าน้ำมันค่อนข้างสูง
ซึ่งในส่วนธุรกิจขนส่งสินค้า ยังมีต้นทุนเครื่องมือ-รถบรรทุกที่จะนำมาใช้ประกอบกิจการ ต้องจัดซื้อจัดหามาในราคาที่แพงกว่า เพราะเงื่อนไขกำแพงภาษีนำเข้า จะมีแค่เรื่องบุคลากร เช่น พนักงานขับรถ หรือแรงงานที่มีอยู่ในมือที่ยังพอสู้ได้ แต่ก็ต้องมาเทรนมาฝึกเพิ่มเติม เพื่อให้ประสิทธิภาพของงานออกมาดี ส่วนเรื่องการเงินก็เป็นอีกเรื่องที่สำคัญไม่แพ้กัน โดยเฉพาะต้นทุนจากสินเชื่อต่างๆ เพราะแทบทุกรายกำลังแบกภาระในเรื่องนี้อยู่ ทำอย่างไรต้นทุนดอกเบี้ยจึงจะถูกลง และเป็นต้นทุนดอกเบี้ยที่เหมาะสมกับธุรกิจการเดินรถขนส่งสินค้า
ตอนนี้แต่ละปัญหาที่กำลังประสบ ทำให้ประคองธุรกิจให้เดินหน้าต่อทำได้ลำบากมาก มีแต่รายจ่ายบีบรัดเข้ามาทุกด้าน จำนวนไม่น้อยที่สู้ต่อไม่ไหวต้องปิดกิจการลง หรือจอดรถทิ้งไว้เฉยๆ ดีกว่าออกวิ่งแล้วขาดทุน ทำให้จำนวนรถของผู้ประกอบการในสมาคมฯ ที่มีอยู่กว่า 20,000 คัน ลดหายไปกว่า 8,000 คัน หรือกว่า 40 % แต่ก็มีบางรายที่ไม่ยอมแพ้ ยังสู้เพื่อให้ธุรกิจเดินหน้าต่อ โดยยอมจ่ายดอกเบี้ยเงินกู้แพงๆ ถึงร้อยละ 20 หรือร้อยละ 25 เพื่อให้มีเงินมาหมุนเวียนพยุงธุรกิจ แต่นั่นคือภาระที่แบกเอาไว้ จนจะแบกไม่ไหวกันอยู่แล้ว
จึงอยากให้ภาครัฐได้เห็นใจ และมองเห็นความยากลำบากของธุรกิจขนส่งสินค้าในปัจจุบันด้วย อยากให้เข้ามาช่วยเหลือเป็นการเร่งด่วน ซึ่งมีเรื่อหลักๆ 2-3 เรื่อง เรื่องแรกคือเรื่องต้นทุนด้านพลังงาน ทำยังไงก็ได้ ให้ต้นทุนพลังงานในระบบโลจีสติกส์ถูกลง จะเอาพลังงานสะอาดมาช่วยก็ได้ เพียงแต่รัฐต้องสนับสนุนช่วยผู้ประกอบการตรงนี้ด้วย เพราะปัจจุบัน เติมน้ำมันดีเซล ลิตรละ 33 บาทกว่า ในขณะที่น้ำมันของประเทศเพื่อนบ้านราคาถูกกว่าเรามาก รัฐบาลต้องทำให้ราคาน้ำมันเชื้อเพลิงและค่าพลังงานต่างๆ ถูกลง เพื่อช่วยบรรเทาความเดือดร้อนให้กับประชาชนในประเทศ ซึ่งธุรกิจขนส่งสินค้ายังมีต้นทุนเครื่องมือในการประกอบกิจการอีก เพดานภาษีนำเข้ารถยนต์ไม่ควรจะแพงนัก
นอกจากนี้ อยากให้ภาครัฐสนับสนุนเรื่องการจัดฝึกอบรมให้ผู้ประกอบกิจการและพนักงานขนส่งสินค้าได้ทราบข้อกฎหมาย ระเบียบ และข้อบังคับต่างๆ ว่า จะต้องปฏิบัติหือต้องทำอย่างไรจึงจะถูกต้อง เพราะทุกวันนี้ ภาครัฐตีกรอบให้เราเดินตามที่ภาครัฐต้องการ แต่ไม่รู้หรอกว่า นั่นคือต้นทุนของเราที่เพิ่มขึ้น ซึ่งตอนนี้ผู้ประกอบการขนส่งสินค้าแต่ละราย ไม่มีรายได้มากพอจากการประกอบกิจการ จึงไม่มีกำลังที่จะไปซัพพอร์ทตามกรอบที่ภาครัฐกำหนดเพิ่มขึ้นมา จึงเป็นเหตุผลให้เห็นง่ายๆ ว่า ทำไมพวกเราจึงลำบากอย่างมากในขณะนี้ ถึงขนาดรถเพิ่งจะซื้อมา แต่ต้องปล่อยให้ธนาคารหรือไฟแนนซ์ยึดไป มีเงินไม่พอที่จะผ่อนจ่าย เป็นภาพความเดือดร้อนที่เห็นได้ชัดเจนมาก เพราะต้นทุนโลจีสติกส์มีแต่สูงขึ้นเรื่อยๆ
อีกทั้งในตอนนี้ ต้องมาดูเรื่องมาตรฐานความปลอดภัยของตัวรถเพิ่มขึ้นด้วย เช่น เรื่อง TSM ระบบจัดการบุคลากรจัดการด้านความปลอดภัยในการขนส่ง , เรื่องการตรวจมาตรฐานคุณภาพบริการขนส่งด้วยรถบรรทุก Q Mark และยังมีเรื่องความปลอดภัยต่างๆ กับเรื่องลดมลภาวะ ลดควันดำด้วย ซึ่งมาตรฐานที่กำหนดเหล่านี้ ต้องเป็นรถบรรทุกรุ่นใหม่ๆ จึงจะทำได้ ส่วนรถบรรทุกรุ่นเก่าๆ ก็ต้องรีไทร์ ถูกโดนจำหน่ายออกไปเป็นจำนวนมาก ซึ่งเรื่องเหล่านี้เป็นต้นทุนที่เพิ่มขึ้นแต่ภาครัฐไม่ได้มองเห็น ซึ่งผู้ประกอบการโดนบีบด้วยข้อบังคับต่างๆ มากขึ้นเรื่อยๆ ทำให้ต้นทุนต่างๆ เพิ่มสูงขึ้น จนผู้ประกอบการกำไรไม่เหลือ หลายรายจึงประคองต่อไปไม่ไหว เพราะไปต่อไม่ได้ จนต้องยุติการประกอบกิจการ
ในภาคอีสานผู้ประกอบการขนส่งสินค้าประสบปัญหาเหมือนกันทั้ง 20 จังหวัด จึงอยากให้รัฐบาลและหน่วยงานภาครัฐได้เห็นใจ หันมามองในบริบทของการประกอบการขนส่งสินค้าอย่างจิรงจัง อย่าปล่อยให้แก้ปัญหากันเองเพียงฝ่ายเดียว จนปัญหาลุกลามถึงขั้นต้องจอดรถทิ้งไว้เฉยๆ ไม่มีแรงผลักดันให้ธุรกิจเดินหน้าต่อ ซึ่งหากรถขนส่งสินค้าที่เป็นฟันเฟืองหลักในระบบโลจีสติกส์มีจำนวนลดลงไปเรื่อยๆ ย่อมส่งผลกระทบเป็นวงกว้างต่อระบบเศรษฐกิจของประเทศได้” นายกิตติศักดิ์ ฯ กล่าว
TAGS:
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
