ศาลปกครองสูงสุดเพิกถอนกฎทรงผมนักเรียน ชี้ขัดรัฐธรรมนูญ

ศาลปกครองสูงสุดเพิกถอนกฎทรงผมนักเรียน ชี้ขัดรัฐธรรมนูญ

65505 มี.ค. 68 13:07   |     ข่าวเวิร์คพอยท์

ศาลปกครองสูงสุดมีคำพิพากษา เพิกถอนประกาศคณะปฏิวัติ-กฎกระทรวงฯ ว่าด้วยทรงผมนักเรียน ปี 2518 ชี้ขัดกับ พ.ร.บ.คุ้มครองเด็ก ไม่ได้คำนึงถึงประโยชน์สูงสุดของเด็กเป็นสำคัญ ไม่เหมาะสมกับสภาพสังคมปัจจุบัน และขัดรัฐธรรมนูญ

(5 มี.ค. 68) ศาลปกครองสูงสุดเผยแพร่คำพิพากษา ในคดีหมายเลขดำที่ ฟร.24/2563 เพิกถอนกฎกระทรวง ฉบับที่ 2 (พ.ศ.2518) ซึ่งเป็นข้อกำหนดเกี่ยวกับการไว้ทรงผมของนักเรียนที่ไม่เหมาะสมแก่สภาพของนักเรียน


โดยระบุว่ากฎกระทรวงดังกล่าวออกตามความในประกาศคณะปฏิวิติ ฉบับที่ 132 ลงวันที่ 22 เมษายน 2515 กำหนดข้อห้ามสำหรับนักเรียนเกี่ยวกับการไว้ทรงผม และการใช้เครื่องสำอาง ระบุวัตถุประสงค์เพื่อสร้างความเป็นพลเมืองดี เพื่อประโยชน์ของประเทศชาติ การเป็นบุตรที่ดีของบิดามารดา การเป็นศิษย์ที่ดีของครู อยู่ในโอวาทคำสั่งสอน รวมทั้ง อยู่ในระเบียบประเพณีและกฎหมายของบ้านเมือง


ต่อมาได้มีการออก พ.ร.บ.คุ้มครองเด็ก พ.ศ.2546 โดยมาตรา 22 วรรคหนึ่ง บัญญัติไว้ว่า การปฏิบัติต่อเด็กไม่ว่ากรณีใด ให้คำนึงถึงประโยชน์ของเด็กเป็นสำคัญ มาตรา 26 วรรคหนึ่ง (1) บัญญัติห้ามมิให้ผู้ใดกระทำการอันเป็นการทารุณกรรมต่อร่างกายหรือจิตใจของเด็ก และกฎกระทรวงกำหนดแนวทางการพิจารณาว่าการกระทำใดเป็นไปเพื่อประโยชน์สูงสุดของเด็กหรือเป็นการเลือกปฏิบัติโดยไม่เป็นธรรมต่อเด็ก พ.ศ. 2549 กำหนดว่า การกระทำเพื่อประโยชน์สูงสุดของเด็ก ให้พิจารณาถึง (1) ลักษณะเฉพาะตัวของเด็กแต่ละคน (2) ความเหมาะสม ความต้องการ และความจำเป็นของเด็ก


เมื่อพิจารณาตามกฎหมายที่บัญญัติขึ้นภายหลังทั้ง 2 ฉบับ ศาลปกครองสูงสุดเห็นว่า ประกาศคณะปฏิวิติ ฉบับที่ 132 และกฎกระทรวง ฉบับที่ 2 (พ.ศ.2518) เป็นกฎที่ไม่ได้คำนึงถึงประโยชน์สูงสุดของเด็กเป็นสำคัญ และยังอาจมีการบังคับใช้อย่างเคร่งครัดจนมีผลร้ายต่อจิตใจของเด็กที่มีความหลากหลายของอัตลักษณ์ทางเพศ จึงเป็นกฎที่ต้องยกเลิกไปตามความในมาตราที่ 3 ของ พ.ร.บ.คุ้มครองเด็ก พ.ศ.2546


ทั้งนี้ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ ได้ออกกฎกระทรวงกำหนดความประพฤติของนักเรียนและนักศึกษา พ.ศ.2548 แก้ไขเพิ่มเติม พ.ศ.2562 ซึ่งแม้จะมิได้มีข้อกำหนดเกี่ยวกับทรงผมนักเรียนไว้อย่างเฉพาะเจาะจง แต่โรงเรียนหรือสถานศึกษาอาจกำหนดระเบียบเกี่ยวกับการไว้ทรงผมนักเรียนไว้เป็นองค์ประกอบย่อยของข้อกำหนดเกี่ยวกับการแต่งกาย


ศาลปกครอง พิจารณาเนื้อหาของกฎกระทรวงฉบับที่พิพาท เห็นว่า มีผลเป็นการจำกัดเสรีภาพในร่างกายของบุคคลเกินสมควรแก่เหตุ กฎกระทรวงดังกล่าวจึงเป็นกฎที่ขัดหรือแย้งกับรัฐธรรมนูญ จึงพิพากษาให้เพิกถอนกฎกระทรวง ฉบับที่ 2 (พ.ศ. 2518) ลงวันที่ 5 มกราคม 2518 ออกตาม ความในประกาศของคณะปฏิวัติ ฉบับที่ 132 ลงวันที่ 22 เมษายน 2515




“ศาลปกครองสูงสุดพิพากษาเพิกถอนกฎกระทรวงฯ ซึ่งเป็นข้อกำหนดเกี่ยวกับ การไว้ทรงผมของนักเรียนที่ไม่เหมาะสมแก่สภาพของนักเรียน


ศาลปกครองสูงสุดมีคำพิพากษาในคดีหมายเลขดำที่ ฟร. 24/2563 เพิกถอน กฎกระทรวง ฉบับที่ 2 (พ.ศ. 2518) ออกตามความในประกาศของคณะปฏิวัติ ฉบับที่ 132 ซึ่งเป็นข้อกำหนดเกี่ยวกับการไว้ทรงผมของนักเรียนที่ไม่เหมาะสมแก่สภาพของนักเรียน


ศาลปกครองสูงสุดพิจารณาแล้วเห็นว่า กฎกระทรวง ฉบับที่ 2 (พ.ศ. 2518) ออกตามความใน ประกาศของคณะปฏิวัติ ฉบับที่ 132 ลงวันที่ 22 เมษายน 2515 ซึ่งกำหนดว่า “การแต่งกาย และความ ประพฤติดังต่อไปนี้ ถือว่าไม่เหมาะสมแก่สภาพของนักเรียน นักเรียนชายตัดผมหรือไว้ผมยาวจนด้านข้าง และด้านหลังยาวเลยตีนผมหรือไว้หนวดไว้เครา นักเรียนหญิงตัดผมหรือไว้ผมยาวเลยต้นคอ หากทางโรงเรียนหรือสถานศึกษาใดอนุญาตให้ไว้ผมยาวเกินกว่านั้น ก็ไม่รวบให้เรียบร้อย นักเรียนใช้เครื่องสำอาง หรือสิ่งปลอมเพื่อการเสริมสวย” นั้น มีสาระสำคัญเป็นการกำหนดข้อห้ามเกี่ยวกับทรงผมและการใช้ เครื่องสำอางของนักเรียน ตั้งแต่ระดับประถมศึกษาถึงมัธยมศึกษา กรณีถือได้ว่าเป็นกฎที่มีผลเป็นการจำกัด เสรีภาพในร่างกายของบุคคลผู้มีสถานะเป็นนักเรียน


โดยประกาศของคณะปฏิวัติ ฉบับที่ 132 ลงวันที่ 22 เมษายน 2515 ซึ่งเป็นฐานอำนาจในการออกกฎกระทรวงดังกล่าว ระบุเหตุผลว่า เพื่อให้นักเรียนและ นักศึกษาเป็นเยาวชนที่กำลังสร้างสมคุณสมบัติทั้งในด้านความรู้ ความคิดและคุณธรรม พร้อมที่จะรับมรดก ตกทอดจากผู้ใหญ่เป็นพลเมืองดีมีประโยชน์แก่ประเทศชาติในอนาคต นักเรียนและนักศึกษาควรจะได้รับ การอบรมดูแลใกล้ชิดจากบิดามารดา ผู้ปกครอง และครูอาจารย์ เพื่อเป็นบุตรที่ดีของบิดามารดา เป็นศิษย์ ที่ดีของครู อยู่ในโอวาทคำสั่งสอน รวมทั้ง อยู่ในระเบียบประเพณีและกฎหมายของบ้านเมือง


เมื่อต่อมา ได้มีการประกาศใช้พระราชบัญญัติคุ้มครองเด็ก พ.ศ. 2546 ปรากฏหลักการและเหตุผล ในการประกาศใช้พระราชบัญญัตินี้ว่า ประกาศของคณะปฏิวัติ ฉบับที่ 132 ลงวันที่ 22 เมษายน พ.ศ. 2515 กำหนดสาระสำคัญและรายละเอียดเกี่ยวกับวิธีการสงเคราะห์ คุ้มครองสวัสดิภาพ และส่งเสริม ความประพฤติเด็ก ไม่เหมาะสมกับสภาพสังคมปัจจุบัน


โดยมาตรา 22 วรรคหนึ่ง แห่งพระราชบัญญัติ ดังกล่าว บัญญัติว่า การปฏิบัติต่อเด็กไม่ว่ากรณีใด ให้คำนึงถึงประโยชน์ของเด็กเป็นสำคัญ มาตรา 26 วรรคหนึ่ง (1) บัญญัติห้ามมิให้ผู้ใดกระทำการอันเป็นการทารุณกรรมต่อร่างกายหรือจิตใจของเด็ก และ กฎกระทรวงกำหนดแนวทางการพิจารณาว่าการกระทำใดเป็นไปเพื่อประโยชน์สูงสุดของเด็กหรือเป็นการ เลือกปฏิบัติโดยไม่เป็นธรรมต่อเด็ก พ.ศ. 2549 กำหนดว่า การกระทำเพื่อประโยชน์สูงสุดของเด็ก ให้พิจารณาถึง (1) ลักษณะเฉพาะตัวของเด็กแต่ละคน (2) ความเหมาะสม ความต้องการ และความจำเป็นของเด็ก


ศาลปกครองสูงสุดเห็นว่า เจตนารมณ์ของประกาศของคณะปฏิวัติ ฉบับที่ 132 ลงวันที่ 22 เมษายน พ.ศ. 2515 และกฎกระทรวง ฉบับที่ 2 (พ.ศ. 2518) ลงวันที่ 5 มกราคม 2518 ที่กำหนดข้อ ห้ามสำหรับนักเรียนเกี่ยวกับการไว้ทรงผมและการใช้เครื่องสำอาง ระบุวัตถุประสงค์เพื่อสร้างความเป็นพลเมืองดี เพื่อประโยชน์ของประเทศชาติ การเป็นบุตรที่ดีของบิดามารดา การเป็นศิษย์ที่ดีของครู


โดยกำหนดให้อยู่ในคำสั่งสอนและโอวาทของผู้ใหญ่และระเบียบประเพณี โดยมิได้คำนึงถึงสภาพสังคม

ที่เปลี่ยนแปลงไป และพัฒนาการของอัตลักษณ์และบุคลิกภาพของเด็กในแต่ละช่วงวัยจากช่วงวัยเด็กเล็ก อายุ 6-7 ปี จนถึงช่วงวัยรุ่นอายุ 13-16 ปี ซึ่งมีสถานะนักเรียนที่อยู่ในบังคับของกฎกระทรวงดังกล่าว 


กรณีจึงไม่อาจถือได้ว่าประกาศของคณะปฏิวัติฯ และกฎกระทรวงที่พิพาท เป็นกฎที่คำนึงถึงประโยชน์สูงสุด ของเด็กเป็นสำคัญ และยังอาจมีการบังคับใช้กฎที่พิพาทนั้นอย่างเคร่งครัดจนมีผลร้ายต่อจิตใจของเด็กที่มีความหลากหลายของอัตลักษณ์ทางเพศ อันเป็นการขัดกับหลักการและบทบัญญัติแห่งพระราชบัญญัติ คุ้มครองเด็ก พ.ศ. 2546 จึงต้องถือว่าเป็นกฎที่ถูกยกเลิกไปโดยมาตรา 3 แห่งพระราชบัญญัติ คุ้มครองเด็ก พ.ศ. 2546 เนื่องจากมีเจตนารมณ์ที่ขัดกับหลักการและบทบัญญัติมาตรา 22 วรรคหนึ่ง แห่งพระราชบัญญัติดังกล่าว


อีกทั้งตามมาตรา 64 แห่งพระราชบัญญัติเดียวกัน ได้กำหนดว่า นักเรียนและ นักศึกษาต้องประพฤติตนตามระเบียบของโรงเรียนหรือสถานศึกษา และรัฐมนตรีว่าการกระทรวง ศึกษาธิการ ได้ออกกฎกระทรวงกำหนดความประพฤติของนักเรียนและนักศึกษา พ.ศ. 2558 แก้ไข เพิ่มเติม พ.ศ. 2562 ซึ่งแม้จะมิได้มีข้อกำหนดเกี่ยวกับทรงผมนักเรียนไว้อย่างเฉพาะเจาะจง แต่โรงเรียน หรือสถานศึกษาอาจกำหนดระเบียบเกี่ยวกับการไว้ทรงผมนักเรียนไว้เป็นองค์ประกอบย่อยของข้อกำหนดเกี่ยวกับการแต่งกาย โดยพิจารณาให้สอดคล้องตามหลักการเพื่อประโยชน์สูงสุดของเด็กและคำนึงถึงการพัฒนาอัตลักษณ์และบุคลิกภาพที่เหมาะสมตามช่วงอายุของนักเรียนได้


ประกอบกับเมื่อพิจารณา เนื้อหาของกฎกระทรวงฉบับที่พิพาท ซึ่งกำหนดลักษณะทรงผมของนักเรียน โดยมิได้คำนึงถึงพัฒนาการ ของบุคลิกภาพของเด็กในแต่ละช่วงวัยและความหลากหลายของอัตลักษณ์ทางเพศของบุคคล จึงมีผลเป็น การจำกัดเสรีภาพในร่างกายของบุคคลเกินสมควรแก่เหตุ ซึ่งกระทำมิได้ตามมาตรา 26 วรรคหนึ่ง ของ รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย ที่บัญญัติว่าการตรากฎหมายที่มีผลเป็นการจำกัดสิทธิหรือเสรีภาพของบุคคลต้องไม่เพิ่มภาระหรือจำกัดสิทธิหรือเสรีภาพของบุคคลเกินสมควรแก่เหตุและจะกระทบต่อศักดิ์ศรี ความเป็นมนุษย์ของบุคคลมได้


กฎกระทรวงดังกล่าวจึงเป็นกฎที่ขัดหรือแย้งกับรัฐธรรมนูญ พิพากษาให้เพิกถอนกฎกระทรวง ฉบับที่ 2 (พ.ศ. 2518) ลงวันที่ 5 มกราคม 2518 ออกตาม ความในประกาศของคณะปฏิวัติ ฉบับที่ 132 ลงวันที่ 22 เมษายน 2515 นับแต่วันที่ศาลปกครองสูงสุด มีคําพิพากษา


สํานักงานศาลปกครอง 5 มีนาคม 2568”


TAGS:

ข่าวที่เกี่ยวข้อง