หนองคายแตก 4 รอบ! เร่งมือซ่อม ปกป้องเมืองชั้นใน

(14 ก.ย. 67) ระดับน้ำโขงที่ไหลผ่านจังหวัดหนองคาย ยังคงมีระดับเพิ่มขึ้นอย่างช้า ๆ ล่าสุดวัดที่ส่วนอุทกวิทยาหนองคาย กรมทรัพยากรน้ำ เมื่อเวลา 22.30 น. มีระดับอยู่ที่ 13.77 เมตร สูงกว่าระดับค่าเฉลี่ยตลิ่ง 1.57 เมตร มีแนวโน้มทรงตัว หากไม่มีฝนตกทางตอนเหนือคาดว่าจะไม่สูงไปกว่านี้มากนัก

จากระดับน้ำโขงที่มีระดับสูงขึ้น ทำให้เมื่อช่วงเวลาประมาณ 17.00 น.เศษ หลังนายอุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย เดินทางกลับไม่นานก็ได้เกิดเหตุการณ์น้ำโขงดันกระสอบทรายที่ทำเป็นบังเกอร์กั้นน้ำโขงไม่ให้เข้ามาตอนในแตก บริเวณชุมชนวัดธาตุ ต้องระดมเจ้าหน้าที่จากทุกภาคส่วนรวมไปถึงประชาชนที่อยู่บริเวณใกล้เคียงได้ช่วยกันซ่อมแซม โดยพล.ต.ต.พิรัชย์ อุดมพิสุทธิคุณ ผบก.ภ.จว.หนองคาย ได้สั่งการระดมเจ้าหน้าที่ตำรวจที่ไม่ติดภารกิจมาร่วมกันซ่อมบังเกอร์ที่แตกและได้ร่วมกับทุกภาคส่วนลงซ่อมด้วย

แต่เนื่องจากกระแสน้ำมีความแรงมาก ทำให้ผู้ที่เข้าช่วยกันซ่อมต้องแบ่งกำลังการทำงานออกเป็นสองส่วน ส่วนแรกเกาะกันกั้นความแรงของกระแสน้ำที่เชี่ยวอีกส่วนหนึ่งเร่งวางกระสอบทรายซ่อม จนในที่สุดก็สามารถซ่อมแซมจุดที่แตกได้ ต่อมาอีกไม่นานกระสอบทรายที่ทำเป็นบังเกอร์กั้นน้ำโขงก็ได้แตกอีกครั้งในจุดที่ไม่ห่างจากจุดแรกมากนัก โดยครั้งนี้แตกเวลาใกล้เคียงกันถึง 2 จุด แต่ยังแตกไม่ใหญ่เนื่องจากเจ้าหน้าที่ยังคอยเฝ้าระวังอยู่ทำให้รีบเข้าซ่อมแซมได้ทัน

จากนั้นเวลาประมาณ 19.00 น.เศษ กระสอบทรายที่ทำเป็นบังเกอร์กั้นน้ำโขง ก็ได้แตกอีกครั้งเป็นครั้งที่ 4 ซึ่งจุดนี้แตกอย่างรวดเร็วและมีขนาดใหญ่ เจ้าหน้าที่ได้เร่งช่วยกันซ่อม โดยใช้ทั้งคนและแผงเหล็กที่ใช้กั้นถนนมากั้นกระแสก่อนเร่งวางกระสอบทรายลงอย่างรวดเร็ว ใช้เวลาพักใหญ่ก็สามารถควบคุมไว้ได้

แต่น้ำก็ยังคงไหลผ่านช่องรอยต่อของกระสอบทราย ต้องใช้คนเข้ามาหนุนกระสอบทรายที่ทำเป็นบังเกอร์ไว้เพื่อความแข็งแรง และจะได้มีการนำแบริเออร์และกระสอบทรายอีกกว่า 200 กระสอบมาเสริมเพิ่มความแข็งแรง อีกทั้งจะมีการเปิดช่องให้น้ำไหลได้เป็นการลดแรงดัน ปล่อยให้ไหลลงท่อระบายน้ำแล้วใช้เครื่องสูบน้ำขนาดใหญ่สูบกลับลงแม่น้ำโขง 

สำหรับกระสอบทรายที่ทำเป็นบังเกอร์ในจุดชุมชนวัดธาตุแห่งนี้ ยาวประมาณ 200 เมตร โดยเริ่มจากการวางครั้งแรกความสูงเพียง 2 – 3 กระสอบ ต่อมาเมื่อน้ำโขงเพิ่มสูงขึ้นก็ได้มีการวางเสริมทับกันขึ้นไปเรื่อย ๆ จึงทำให้ไม่แข็งแรงไม่สามารถทนแรงดันของน้ำโขงที่เพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ ได้