‘ทรัมป์’ ประกาศยึด ‘ฉนวนกาซา’ เล็งพัฒนาเป็นพื้นที่เศรษฐกิจ

(5 ก.พ. 68) ตกเป็นที่วิพากษ์วิจารณ์อีกรอบ กับการเคลื่อนไหวของ โดนัลด์ ทรัมป์ หลังขึ้นดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา ในสมัยที่ 2 ได้ไม่กี่วัน โดยก่อนหน้านี้ทรัมป์ได้ลงมือจัดการสะสางเรื่องราวในประเทศ ทั้งเรื่องการตัดเงินช่วยเหลือองค์กรที่ทำงานด้านการสนับสนุนสิทธิมนุษยชนและประชาธิปไตยในหลายประเทศ, ยกเลิกระเบียบ-นโยบายที่สนับสนุนความหลากหลาย, ปรับเปลี่ยนนโยบายเรื่องผู้อพยพให้มีความชาตินิยมมากขึ้น

ล่าสุดทรัมป์ได้เชิญ เบนจามิน เนทันยาฮู นายกรัฐมนตรีอิสราเอล เข้าหารือเรื่องความขัดแย้งในพื้นที่ตะวันออกกลางที่ทำเนียบข่าว โดยหลังพูดคุย ทรัมป์ได้ตั้งโต๊ะแถลงข่าวต่อสื่อมวลชน ระบุว่าสหรัฐอเมริกามีความสนใจที่จะเข้าเทกโอเวอร์พื้นที่ฉนวนกาซา ซึ่งเป็นพื้นที่ความขัดแย้งระหว่างอิสราเอลและกลุ่มฮามาสมาเนิ่นนาน

โดยเขาเปิดเผยแผนการณ์คร่าวๆ ว่าเมื่อเข้ายึดพื้นที่ได้หลังจากส่งชาวปาเลสไตน์ไปเป็นผู้อพยพย้ายถิ่นถาวรในประเทศใกล้เคียงแล้ว สหรัฐฯ จะเข้าพัฒนาพื้นที่ฉนวนกาซาให้เป็นพื้นที่เศรษฐกิจ โดยสหรัฐฯ จะรับผิดชอบในการกำจัดระเบิดและอาวุธที่ยังไม่ระเบิด ก่อนที่จะเข้าควบคุมและพัฒนา สร้างงานหลายพันตำแหน่ง และมันจะเป็นสิ่งที่ทั้งตะวันออกกลางสามารถภาคภูมิใจได้

เมื่อถูกถามว่าต่อไปหลังจากนี้ใครจะได้ไปอาศัยในพื้นที่ฉนวนกาซา ทรัมป์บอกว่าอาจจะเป็นบ้านหลังใหม่ของคนทั่วโลก พร้อมทั้งบอกด้วยว่าฉนวนกาซามีศักยภาพที่จะพัฒนาให้เป็นริเวียราของตะวันออกกลาง

ทางด้านรัฐมนตรีเนทันยาฮู ให้ความเห็นถึงเรื่องดังกล่าวเพียงว่าวิสัยทัศน์ของทรัมป์นั้นอยู่นอกกรอบ

ทั้งนี้ไม่มีการระบุชัดเจนว่าทรัมป์และสหรัฐฯ จะใช้อำนาจใดในการเข้าเทกโอเวอร์ฉนวนกาซา และแผนการณ์นี้จะผิดกฎหมายระหว่างประเทศหรือไม่ ขณะที่นักรณรงค์สิทธิมนุษยชนบางคนเปรียบเทียบแนวคิดนี้ว่าเป็นการฆ่าล้างชาติพันธุ์