11 มาตรการ กทม.แก้ฝุ่น PM 2.5 - จ่อชงรัฐบาลประกาศเขตควบคุมมลพิษ

11 มาตรการ กทม.แก้ฝุ่น PM 2.5 - จ่อชงรัฐบาลประกาศเขตควบคุมมลพิษ

16631 ม.ค. 68 13:37   |     ข่าวเวิร์คพอยท์

‘ชัชชาติ’ เปิด 11 มาตรการฝุ่น และ 11 ข้อเรียกร้องต่อรัฐบาล ในการแก้ปัญหาฝุ่น PM 2.5 พร้อมชงรัฐบาลประกาศให้ กทม.เป็นเขตควบคุมมลพิษ

(31 ม.ค. 68) วานนี้(30 ม.ค.) นายชัชชาติ สิทธิพันธุ์ ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร เข้าร่วมการประชุมสภากรุงเทพมหานคร สมัยประชุมสามัญ สมัยแรก (ครั้งที่ 4) ประจำปี พ.ศ. 2568 โดยมี นายสุรจิตต์ พงษ์สิงห์วิทยา ประธานสภากรุงเทพมหานคร เป็นประธานการประชุม และสมาชิกสภากรุงเทพมหานคร (ส.ก.) คณะผู้บริหารและหัวหน้าส่วนราชการกรุงเทพมหานคร ร่วมประชุม ณ ห้องประชุมสภากรุงเทพมหานคร อาคารไอราวัตพัฒนา ศาลาว่าการกรุงเทพมหานคร ดินแดง


ในที่ประชุมมีการพูดคุยเรื่องของปัญหาฝุ่น PM 2.5 ที่กำลังเป็นปัญหาอยู่ในขณะนี้ โดยนายชัชชาติได้ตอบรับเื่องดังกล่าว โดยระบุว่า ปัญหาหลักในกรุงเทพฯมี 2 เรื่อง คือ เรื่องฝุ่น และเรื่องน้ำท่วม ซึ่งเรื่องฝุ่นถือเป็นเรื่องสำคัญ เป็นสิ่งที่เราวางแผนและพยายามดำเนินการมาโดยตลอด โดยก่อนที่เราจะพูดถึงการแก้ไขปัญหาเราจะต้องเข้าใจก่อนว่าที่มาของฝุ่นมาจากไหน



กทม. ได้ดำเนินโครงการนักสืบฝุ่น โดยร่วมกับนักวิจัยมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์วิเคราะห์องค์ประกอบทางเคมีของฝุ่น PM2.5 ในพื้นที่กรุงเทพฯ และพบว่าฝุ่นในพื้นที่กรุงเทพฯ มาจาก 3 ปัจจัยหลัก คือ รถยนต์ สภาพอากาศปิด และการเผาชีวมวล โดยในสถานการณ์ปกติจะมีฝุ่น PM2.5 จากรถยนต์เป็นทุนเดิมอยู่ที่ประมาณ 30 ไมโครกรัม/ลูกบาศก์เมตร (มคก./ลบ.ม.) เมื่อมีอากาศปิด ร่วมกับฝุ่น PM2.5 จากรถยนต์เป็นทุนเดิม แต่ไม่มีการเผา จะมีค่าฝุ่นที่ประมาณ 60 มคก./ลบ.ม. และเมื่อมีอากาศปิด ร่วมกับฝุ่น PM2.5 จากรถยนต์เป็นทุนเดิม และมีการเผาด้วย จะมีค่าฝุ่นที่ประมาณ 90 มคก./ลบ.ม.



ดังนั้น เราจึงต้องให้ความสำคัญกับทั้งฝุ่นที่มาจากรถยนต์และการเผาชีวมวลซึ่งเป็นปัจจัยที่ทำให้สถานการณ์ในพื้นที่กรุงเทพฯ ไม่ดี โดยในเรื่องรถยนต์นั้น ต้องขอขอบคุณทางสภากรุงเทพมหานครที่เป็นหน่วยงานแรก ๆ ที่ออกข้อบัญญัติในการเปลี่ยนรถเมล์ให้เป็นรถเมล์ EV แม้ว่ากฤษฎีกาแจ้งว่าเราไม่มีอำนาจ ซึ่งทำให้เราเห็นว่าส่วนหนึ่งของปัญหาคืออำนาจบางอย่างไม่ได้อยู่ที่เรา แต่เราไม่ได้ยอมแพ้ เราพยายามหามาตรการต่าง ๆ ใช้อำนาจที่เรามีเข้าไปควบคุมให้ได้


ในส่วนของเรื่องแผนปฏิบัติการแก้ปัญหาฝุ่นละออง PM2.5 ในพื้นที่กรุงเทพมหานคร ปี 2568 หรือ “แผนลดฝุ่น 365 วัน” กทม. ได้มีการดำเนินการอยู่ตลอดทุกวันทั้งปี โดยในระยะปกติมีการติดตามเฝ้าระวังและแจ้งเตือนประชาชน การกำจัดต้นตอ อาทิ ตรวจควันดำ ตรวจคุณภาพอากาศเชิงรุก รถอัดฟาง Feeder การป้องกันให้กับประชาชน เช่น ธงคุณภาพอากาศ ห้องปลอดฝุ่น ปลูกต้นไม้ล้านต้น การสร้างการมีส่วนร่วม อาทิ แอปพลิเคชัน Traffy Fondue


ส่วนในระยะวิกฤตก็ยังคงมีการดำเนินการตามแผนระยะค่าฝุ่นปกติอย่างต่อเนื่อง แต่เพิ่มมาตรการให้มีความเข้มข้นยิ่งขึ้น มีการจัดตั้ง War Room เพิ่มการแจ้งเตือนประชาชน เพิ่มการแจ้งเตือนผ่าน Line Alert เพิ่มการติดตาม Hot Spot เพิ่มมาตรการกำจัดต้นตอการเกิดฝุ่น ได้แก่ เพิ่มความถี่ในการตรวจควันดำ ประสานวัด/ศาลเจ้างดจุดธูปเทียน ห้ามจอดรถบนถนนสายหลัก/สายรอง หยุดการก่อสร้าง ประกาศพื้นที่ควบคุมเหตุรำคาญ


ดำเนินมาตรการ Low Emission Zone (LEZ) มาตรการ WORK FROM HOME ด้านการป้องกันประชาชน ได้มีการเพิ่มการจัดหน่วยแพทย์เคลื่อนที่ ดำเนินการประชาสัมพันธ์ให้ความรู้ คำแนะนำในการดูแลสุขภาพ เพิ่มการแจกหน้ากากอนามัยเชิงรุกแก่ประชาชนทั่วไป เด็กนักเรียน และกลุ่มเปราะบาง ให้บริการคลินิกมลพิษทางอากาศ ตลอดจนประสานความร่วมมือกับกรมฝนหลวงและการบินเกษตร เป็นต้น



โดยสามารถสรุปออกมาเป็น 11 มาตรการฝุ่น ได้แก่ 


1. Low Emission Zone (LEZ) หรือมาตรการเขตมลพิษต่ำ ควบคุมรถเข้าพื้นที่ ซึ่งไม่เคยมีใครทำมาก่อน ถือเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ โดยใช้ พ.ร.บ. ป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย ห้ามรถ 6 ล้อขึ้นไปที่ไม่ลงทะเบียนบัญชีสีเขียว (Green List) เข้าพื้นที่วงแหวนรัชดาภิเษก ซึ่งหากสถานการณ์ยังไม่คลี่คลายและมีแนวโน้มฝุ่นเพิ่มมากขึ้นจะประกาศขยายพื้นที่ควบคุมไปยังวงแหวนกาญจนาภิเษกด้วย ทั้งนี้ ผู้ฝ่าฝืนต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 1 เดือน หรือปรับไม่เกิน 2,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ โดยเราใช้ CCTV และเทคโนโลยีเข้ามาอ่านป้ายทะเบียนและตรวจสอบกับ Green List เพื่อดำเนินการแจ้งความต่อไป ซึ่งผู้ประกอบการยินดีร่วมมือเพราะเป็นการสนับสนุนให้คนที่ทำดียังใช้รถได้อยู่ โดยปัจจุบันมีรถลงทะเบียน Green List แล้ว 43,716 คัน 


2. โครงการรถคันนี้ลดฝุ่น เป็นการชวนประชาชนมาเป็นแนวร่วมในการลดฝุ่น ซึ่งจากการวิจัยพบว่าการเปลี่ยนน้ำมันเครื่อง/ไส้กรอง สามารถลดฝุ่น PM2.5 ได้ถึง 55% เราจึงได้คุยกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องให้ร่วมลดค่าใช้จ่ายในการเปลี่ยนน้ำมันเครื่อง/ไส้กรองเพื่อช่วยเหลือประชาชน โดยเริ่มดำเนินการเมื่อปี 2567 (18 ธ.ค. 66 - 29 ก.พ. 67) มีรถเข้าร่วม 265,130 คัน จากเป้าหมาย 265,130 คัน ส่วนในปี 2568 เริ่มดำเนินการตั้งแต่เดือนตุลาคม 2567 มีรถเข้าร่วม 229,711 คัน (ข้อมูล ณ วันที่ 23 ม.ค. 68) จากเป้าหมาย 500,000 คัน 


3. ห้องเรียนปลอดฝุ่น โรงเรียนสังกัด กทม. ที่เปิดสอนในระดับชั้นอนุบาล (429 แห่ง) โดยปรับปรุงเสร็จแล้ว 744 ห้อง จากห้องเรียนอนุบาลทั้งหมด 1,966 ห้อง และจะปรับปรุงให้เสร็จทั้งหมดภายในปีนี้ จึงเป็นสาเหตุหนึ่งที่เราไม่ปิดทุกโรงเรียนพร้อมกัน เพราะเราเชื่อว่าโรงเรียนเป็นที่ปลอดภัยให้กับนักเรียนได้ ในส่วนของศูนย์พัฒนาเด็กก่อนวัยเรียนได้มีการติดตั้งเครื่องกรองอากาศ ปัจจุบันยังติดไม่ครบ จะติดตั้งเพิ่มเติมต่อไป อีกทั้งยังมีโครงการห้องเรียนสู้ฝุ่น ร่วมกับ สสส. ติดตั้งเครื่องวัดคุณภาพอากาศ 437 เครื่อง และสร้างความตระหนักรู้ถึงปัญหาฝุ่นละออง


4. เครือข่าย WORK FROM HOME (WFH) เพื่อลดการจราจรในท้องถนน และประชาชนจะได้ไม่ต้องออกไปเจอสภาพอากาศที่ไม่ดีข้างนอก ปัจจุบันมีหน่วยงานภาคส่วนต่าง ๆ เข้าร่วมกับ กทม. เป็นภาคีเครือข่าย WFH รวม 103,781 คน (ข้อมูล ณ วันที่ 28 ม.ค. 68) โดยตั้งเป้าหมายจะทำให้ถึง 200,000 คน ทั้งนี้ หัวใจคือเขาต้องไว้ใจเรา ซึ่งการที่เอกชนเข้าร่วมโครงการเพราะเรามีมาตรฐานชัดเจนและพยากรณ์ได้แม่นยำ


5. รถอัดฟางให้ยืมฟรี เป็นโมเดลที่เราเชื่อว่าเราไปผลักภาระให้เกษตรกรอย่างเดียวไม่ถูก เพราะปัญหาฝุ่นเป็นปัญหาทางเศรษฐกิจ ซึ่งการเผาเป็นวิธีที่ต้นทุนต่ำ เราจึงตั้งงบประมาณซื้อรถอัดฟางสนับสนุนให้เกษตรกรยืมใช้ฟรี เชื่อว่าโมเดลนี้น่าจะขยายไปทั่วประเทศได้ ช่วยลดต้นทุนให้เกษตรกรได้ และสามารถนำฟางไปขายได้


6. สนับสนุนทีมฝนหลวงช่วยลดฝุ่น กทม. ซึ่งหัวใจของฝนหลวงไม่ใช่การทำให้ฝนตกลงมาเพื่อล้างฝุ่น แต่เป็นไปตามแนวคิดการเจาะช่องฝาชีที่ครอบอยู่เพื่อให้ฝุ่นระบายขึ้นไปได้ ที่ผ่านมาไม่เคยมีการบินในเขตกรุงเทพมหานครเพราะเป็นเขตหนาแน่น ปีนี้เป็นปีแรกที่วิทยุการบินฯ อนุญาตให้บินเพราะเรามีการประสานขอความร่วมมือไป ซึ่ง กทม. ได้สนับสนุนทีมฝนหลวงในการรับบริจาคน้ำแข็งแห้งและได้รับความไว้วางใจจากประชาชนมาจำนวน 300 ตัน ส่วนประสิทธิภาพจะมากแค่ไหนเราอาจยืนยันไม่ได้ ต้องให้ทางกรมฝนหลวงฯ ยืนยันอีกครั้งหนึ่ง แต่เราเชื่อว่าต้องใช้วิทยาศาสตร์ในการแก้ปัญหาและไม่หยุดในการหาทุกวิถีทาง 


7. เปิดช่องทางแจ้งเบาะแสฝุ่น โดยใช้ Traffy Fondue ซึ่งมีเมนูแจ้งการเผา แจ้งควันดำโดยเฉพาะ 


8. การพยากรณ์และแจ้งเตือนฝุ่น ซึ่งเราสามารถพยากรณ์ฝุ่นได้แม่นยำ ใช้เซ็นเซอร์ที่ได้มาตรฐาน มีการแจ้งเตือน อาทิ ธงคุณภาพอากาศในโรงเรียน/ชุมชน/สำนักงานเขต เปิดศูนย์ข้อมูลคุณภาพอากาศกรุงเทพมหานคร และ Live แจ้งเตือนสถานการณ์วันละ 1 ครั้ง มี Line Alert ที่แจ้งเตือนเมื่อมีวิกฤต เพื่อให้ประชาชนรับรู้ทันท่วงที


9. การตรวจฝุ่นที่ต้นตออย่างต่อเนื่อง ตั้งแต่ 1 ต.ค. 65 - 29 ม.ค. 68 อาทิ โรงงาน 236 แห่ง เราตรวจแล้ว 14,638 ครั้ง แพลนท์ปูน 105 แห่ง ตรวจแล้ว 2,451 ครั้ง สั่งปิด 17 แห่ง ตรวจรถโดยสารแล้ว 57,057 คัน ห้ามใช้ 85 คัน ตรวจรถบรรทุก 142,880 คัน ห้ามใช้ 743 คัน เป็นต้น ซึ่งการตรวจรถเมล์/รถ 6 ล้อขึ้น เราไม่มีสิทธิห้ามใช้งาน จึงต้องร่วมกับกรมการขนส่งทางบกหรือตำรวจและอาศัยอำนาจเขาในการห้าม ต้องฝากช่วยกันผลักดันกฎหมายที่เกี่ยวข้องไปทางสภาใหญ่ให้ช่วยดูด้วย


10. การปรับปรุงการจราจร ปรับปรุงทางเท้า เป้าหมายระยะทาง 1,000 กม. และการใช้จักรยาน Bike Sharing เพื่อให้คนลดการใช้รถยนต์ลง


11. เพิ่มพื้นที่สีเขียว โดยดำเนินการอย่างต่อเนื่องมาตลอด ทั้งการทำโครงการปลูกต้นไม้ล้านต้น ซึ่งตอนนี้ปลูกไปแล้วกว่า 1,286,000 ต้น พร้อมขยายเป้าเป็น 2 ล้านต้น และจัดทำสวน 15 นาที ซึ่งทำไปแล้วกว่า 170 แห่ง จากเป้าหมาย 500 แห่ง ทั้งนี้ การเพิ่มพื้นที่สีเขียวอาจเป็นโครงการที่ไม่เห็นผลในวันนี้ แต่อนาคตจะเป็นร่มเงาและคอยดักฝุ่นให้เมืองกรุงฯ ได้



นอกจากมาตรการต่าง ๆ ข้างต้น กทม. ยังรวบรวม 11 ข้อเสนอต่อรัฐบาลเพื่อให้การดำเนินการป้องกันและแก้ไขปัญหาฝุ่นมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น ได้แก่ 


1. มาตรการตรวจควันดำและการตรวจสภาพรถประจำปี ประกอบด้วย การลดค่าความทึบแสงให้เหลือ 10% หรือให้ กทม. กำหนดค่ามาตรฐานเอง และการตรวจสารมลพิษอื่นจากปลายท่อไอเสีย


2. การติดตัวกรองมลพิษอนุภาคจากเครื่องยนต์ดีเซล (DPF) โดยพิจารณาในกลุ่มรถที่มีอายุการใช้งานตั้งแต่ 20 ปีขึ้นไป เพื่อลดมลพิษจากแหล่งกำเนิดภาคการจราจร


3. การให้ กทม. เป็นผู้ตรวจการขนส่ง เพื่อให้มีอำนาจเรียกรถให้หยุดเพื่อทำการตรวจสอบ ตลอดจนจับกุมผู้ฝ่าฝืน


4. การจัดการรถเก่า โดยเพิ่มการจัดเก็บภาษีรถเก่าให้สอดคล้องกับการปล่อยมลพิษของรถตามอายุการใช้งาน และสนับสนุนให้ประชาชนสามารถเข้าถึงรถพลังงานไฟฟ้า (EV) โดยอาจสนับสนุนการนำรถเครื่องยนต์สันดาปแลกรถยนต์ EV คันแรก


5. ให้คณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติประกาศให้กรุงเทพมหานครเป็นเขตควบคุมมลพิษ เพื่อดำเนินการควบคุม ลด และขจัดมลพิษในพื้นที่ได้อย่างสอดคล้องกับบริบทเมือง


6. การควบคุมปริมาณรถ โดยสนับสนุนรถพลังงานไฟฟ้า จำกัดการซื้อรถใหม่ที่มาตรฐานต่ำกว่ายูโร 5 หรือทะเบียนเก่าแลกทะเบียนใหม่ จำกัดการเพิ่มขึ้นของรถ และนำรถเก่าออกจากระบบ


7. การย้ายท่าเรือคลองเตย เพื่อลดปริมาณแหล่งกำเนิดมลพิษภาคการจราจรในพื้นที่กรุงเทพฯ


8. การควบคุมโรงงานอุตสาหกรรม (ทั้ง 236 แห่ง) โดยกำหนดให้มีการจัดทำรายงานชนิดและปริมาณสารมลพิษที่ระบายออกจากสถานประกอบกิจการที่มีหม้อไอน้ำ รวมทั้งให้ติดตั้ง CEMs (เครื่องตรวจวัดมลพิษปลายปล่อง) ทุกโรงงาน


9. การเก็บภาษีสิ่งแวดล้อม ตามหลักการผู้ก่อมลพิษเป็นผู้จ่าย (Polluter Pays Principle: PPP) โดยขอให้เร่งรัดกระบวนการพิจารณาข้อบัญญัติกฎหมายภายใต้พระราชบัญญัติบริหารจัดการเพื่ออากาศสะอาด พ.ศ. ... และเร่งรัดการประกาศใช้ต่อไป


10. การตรวจมลพิษในท่าเรือ (จากปลายท่อ) โดยแต่งตั้งให้ข้าราชการสังกัด กทม. เป็นพนักงานเจ้าหน้าที่ ปฏิบัติการตามมาตรา 63 มาตรา 65 และมาตรา 66 แห่งพระราชบัญญัติส่งเสริมและรักษาคุณภาพสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ พ.ศ. 2535 เฉพาะในส่วนที่เกี่ยวกับการควบคุมมลพิษจากเรือตามกฎหมายว่าด้วยการเดินเรือในน่านน้ำไทยทั่วราชอาณาจักร ในพื้นที่กรุงเทพฯ


11. การศึกษาผลกระทบสิ่งแวดล้อมจากโรงกลั่นน้ำมัน เพื่อวิเคราะห์สารมลพิษและผลกระทบต่อสุขภาพ ตลอดจนการกำหนดมาตรการลดและควบคุมแหล่งกำเนิดฝุ่นละอองขนาดเล็กและการปล่อยก๊าซเรือนกระจกและสารมลพิษที่เกี่ยวข้องในพื้นที่เมือง



“เรื่องมาตรการฝุ่นต้องเรียนว่ามีหลายมิติ และเชื่อว่าเป็นความพยายามที่ต้องมีหลายหน่วยงานร่วมกัน และต้องช่วยกันผลักดัน กทม. เองก็ต้องยอมรับว่าเรายังทำได้ไม่ดีที่สุด ต้องทำให้ดีกว่านี้ หาก ส.ก. มีข้อเสนอแนะอะไร เรายินดีรับฟังและนำไปปรับปรุงให้ดีขึ้น ขณะเดียวกันขอให้ช่วยกันผลักดันในสภาใหญ่กับทางรัฐบาลด้วยเพราะหลายเรื่องไม่ได้อยู่ในขอบเขตเรา อย่างมากทำได้แค่ไปดู ถ่ายรูป หารือ แต่ไม่มีอำนาจไปจัดการ อย่างไรก็ตาม เชื่อว่าในอนาคตยังมีความหวังว่าสถานการณ์จะดีขึ้น” ผู้ว่าฯ ชัชชาติ กล่าว


TAGS:

ข่าวที่เกี่ยวข้อง