“เจ๊แหม่ม ออมทอง” เปิดใจ ไม่ได้จะโกง แค่หมุนเงินไม่ทัน
“เจ๊แหม่ม ออมทอง” เปิดใจ ไม่ได้จะโกง แค่หมุนเงินไม่ทัน
“เจ๊แหม่ม ออมทอง” เปิดปากหลังบ้านออมทองล้ม เสียหาย 300 ล้าน อ้างไม่ได้คิดโกงแค่ลูกค้าปิดยอดพร้อมกันเยอะจนหมุนเงินมาจ่ายไม่ทัน ผู้เสียหายถาม “ไม่สงสารพี่บ้างเหรอ” - ญาติไม่ประกันตัวบอกไม่มีเงิน
(20 ธ.ค. 67) สืบเนื่องจากที่มีผู้เสียหายรายหลาย เข้าแจ้งความที่ สภ.บางปะอิน จ.พระนครศรีอยุธยา ตั้งแต่เดือนมกราคา 2567 ให้เอาผิด น.ส.กนกรัตน์ดา อายุ 37 ปี เจ้าของเฟซบุ๊กบ้านออมทอง เจ๊แหม่ม โดยมีการเปิดให้ร่วมออมทองคำแท้ 96.5% ในราคาที่ต่ำกว่าราคาตลาด และหากชักชวนคนอื่นมาลงทุนด้วยได้จะได้เงินเพิ่มอีกรายละ 500 บาท แต่เมื่อถึงเวลาที่ออมทองครบจำนวนแล้ว กลับไม่ได้รับทองคำ หรือเงินค่าตอบแทนตามที่สัญญาไว้ โดยเฉพาะพื้นที่ สภ.บางปะอินมีผู้มาแจ้งความแล้ว ความเสียหายราย 28 ล้านบาท และทั้งประเทศคาดว่าความเสียหายอยู่ที่ 300 ล้านบาท
ต่อมา เจ้าหน้าที่สามารถจับกุมตัว น.ส.กนกรัตน์ดาได้ และควบคุมตัวมาสอบปากคำที่ สภ.บางปะอินวานนี้(19 ธ.ค.) ได้มีผู้เสียหายบางส่วนเดินทางมารอที่ สภ.บางปะอินด้วย น.ส.ภัชราภรณ์ อายุ 41 ปี 1 ในผู้เสียหายได้ตะโกนถามผู้ต้องหาขณะถูกควบคุมตัวสอบสวนว่าไม่สงสารพี่บ้างเหรอทั้งๆ ที่ก็รู้ว่าพี่นำเงินก้อนสุดท้ายทั้งชีวิต รวมถึงเงินประกันชีวิตและเงินฌาปนกิจศพของพ่อที่เสียชีวิตไปมาลงทุน ตอนงานศพของพ่อพี่เจ๊แหม่มยังไปเลย ทำไมทำได้ลงคอไม่สงสารพี่เลยเหรอ ซึ่งตัวเจ๊แหม่มไม่ตอบและมีสีหน้าเรียบเฉย ก่อนถูกควบคุมตัวขึ้นไปไปยังห้องสอบสวน
น.ส.ภัชราภรณ์เล่าว่าตนนั้นทำงานที่บริษัทเดียวกันกับผู้ต้องหา ตนเห็นผู้ต้องหาชักชวนให้ออมทอง เห็นมีคนร่วมออมทองเยอะ และดูโปรไฟล์น่าเชื่อถือ จึงร่วมลงทุนด้วย ตอนนั้นผู้ต้องหาเปิดรับออมทองราคาประมาณบาทละ 27,800 บาท หากนำไปขายก็จะได้กำไรประมาณ 4,000 – 5,000 บาท
ประมาณต้นเดือนสิงหาคม 2566 ตนเองจึงเริ่มลงทุนออมทองกับเจ๊แหม่มครั้งแรกทองคำเพียง 2 – 3 บาทและก็ได้ผลกำไรตอบแทนจริง จนกระทั่ง เดือนธันวาคม 2566 เจ๊แหม่มก็ขาดการติดต่อไปแบบดื้อๆ ตนเองก็พยายามจะติดต่อเรื่อง ขอรับเงิน และพูดคุยเพราะคิดว่าอาจจะถูกโกงแน่ๆ เนื่องจากตนเองออมทองเก็บไว้กับเจ๊แหม่ม จำนวนถึงทองคำ 41 บาท และขอปิดยอด แต่ก็ไม่สามารถติดต่อได้ รวมๆ มูลค่าตนเองเสียหายสูญเงินไปกว่า 1 ล้านบาท
เฉพาะคนในกลุ่มและที่ทำงานเดียวกันกับตนมีผู้เสียหายประมาณ 20 คน เกือบ 30 ล้านบาท และยังมีผู้เสียหายทั่วประเทศที่ถูกเจ๊แหม่มโกง เชื่อว่ารวมกันกว่า 300 ล้านบาท ตนเองเสียใจมากและทุกข์ใจมากเนื่องจากเงินที่นำไปลงทุนเป็นเงิน เป็นเงินที่สามีไปทำงานต่างประเทศและเก็บออม หวังจะนำมาตั้งตัวปลูกบ้านสร้างครอบครัวที่ดีเมื่อสามีกลับมาประเทศไทย และเงินประกันชีวิตและเงินฌาปนกิจศพของพ่อที่ทำทิ้งไว้ให้เป็นมรดกก่อนตาย ก็ถูกรวบรวมนำไปลงทุนออมทองกับเจ๊แหม่มหมดตัว แถมยังเป็นหนี้อีก ตนเองเสียใจมากเคยคิดอยากจะฆ่าตัวตาย แต่คนในครอบครัวช่วยปลอบใจโดยเฉพาะสามีกับลูกที่ยังเล็ก และก็ยังหวังว่าหากเจ้าหน้าที่ตำรวจจับตัวเจ๊แหม่มได้หวังว่าจะได้ทรัพย์สินคืนมาบ้าง เนื่องจากตนเองสืบทราบมาว่าเจ๊แหม่มนั้นนำเงินไปซื้อรถซื้อบ้านให้อดีตแฟนเก่า ซึ่งตนเองก็ไม่แน่ใจว่าจะถูกยึดทรัพย์หรือสามารถนำมาขายทอดตลาดได้หรือเปล่าแต่ตนเองก็หวังว่าจะได้เงินคืนบ้าง
ด้าน เจ๊แหม่มผู้ต้องหาซึ่งมีสีหน้าเรียบเฉยเผยตนเองอยากจะขอโทษผู้เสียหายทั้งหมดแต่ก็ทำอะไรไม่ได้เนื่องจากตนเองไม่เหลือเงินเลยซักบาทโดยอ้างว่านำเงินที่ได้มา จากการออมทองของลูกข่าย ตนเองก็นำไปหมุนและแบ่งจ่ายให้ลูกข่าย ที่ออมทองและปิดยอดไปหมดแล้ว แต่เนื่องจากเกิดปัญหาลูกค้าออมทองปิดยอดพร้อมกันช่วงปีใหม่ จึงทำให้เกิดการหมุนเงินไม่ทันและไม่มีลูกข่ายมาลงทุนออมทองกับตนเองเพิ่ม ทำให้ไม่สามารถหมุนเงินได้ทัน โดยอ้างว่าไม่ได้ตั้งใจจะหลอกหรือโกงใคร แต่ต้องการนำเงินที่ออมทองจากลูกข่าย มาต่อยอดหมุนเงินเท่านั้นแต่เนื่องจากเกิดการหมุนเวียนไม่ทันจึงเกิดความเสียหายไม่สามารถจ่ายเงินให้กับลูกข่ายได้
ล่าสุดเช้าวันนี้ตำรวจได้คุมตัวเจ๊แหม่ม ไปฝากขังที่ศาลจังหวัดพระนครศรีอยุธยา ผู้สื่อข่าวพยายามสอบถาม ทางเจ๊แหม่มพูดเพียงว่าขอโทษ เพียงสั้นๆ
สำรหรับครอบครัวของเจ๊แหม่มมีเพียงแม่, พี่สาว, และพี่เขย ที่เดินทางมาเยี่ยมจาก จ.หนองบัวลำภู ซึ่งแม่พอทราบข่าวถึงกับตกใจและจะเป็นลมที่ลูกถูกจับ เผยไม่เคยรู้เลยว่าลูกทำเรื่องแบบนี้เพราะไม่เคยเห็นตัวเงินและลูกก็ไม่เคยนำเงินมาให้ จนกระทั่งมาทราบข่าวว่าถูกจับ
ทางด้านพี่เขยบอกว่าพอจะทราบว่าผู้ต้องหาเปิดบ้านออมทอง แต่ทางคึรอบครัวไม่เคยได้รับเงินจากผู้ต้องหา เงินที่ให้ที่บ้านมีเพียงแต่เอาไปซ่อมแซมประตูบ้านเป็น 20,000 - 30,000 บาทเท่านั้น แต่เคยเห็นผู้ต้องหาซื้อรถป้ายแดงราคา 1.7 ล้านบาทให้แฟนหนุ่ม กับซื้อบ้านเดี่ยวราคา 2 ล้าน เป็นชื่อแฟนหนุ่ม สำหรับบ้าน ไม่ได้ซื้อเงินสดและก็ยังผ่อนอยู่ในราคาเดือนละ 8,000 บาท
นอกจากนี้ก็นำเงินไปใช้จ่ายส่วนตัวซื้อโทรศัพท์มือถือ แท็บเล็ต กล้องใหม่ จนกระทั่งแหม่มระบบการเงินช็อตหมุนเงินไม่ทัน แฟนหนุ่มจึงพาไปหลบหนี ไปอยู่บ้านญาติที่จังหวัดระยองจากนั้นก็ขายทรัพย์สินที่ติดอยู่ตัวอยู่เอาไปไปใช้ชีวิตประจำวัน จากนั้นก็กลับมาหางานทำในพื้นที่เขตนวนครจนกระทั่งมาถูกเจ้าหน้าที่ตำรวจจับ ซึ่งทางครอบครัวคงไม่ยื่นประกันตัวเนื่องจากครอบครัวเองก็ฐานะยากจน คงต้องปล่อยให้เป็นไปตามกระบวนการทางกฎหมาย