“เท้ง” บอกตอนนี้เหลือแค่ก๊กเดียว หลอมรวมจาก “ดีลแลกประเทศ”
“เท้ง” บอกตอนนี้เหลือแค่ก๊กเดียว หลอมรวมจาก “ดีลแลกประเทศ”

“ณัฐพงษ์” ชี้ประชาชนเสียประโยชน์หลายด้านจาก “ดีลแลกประเทศ” ใครหลับไปเมื่อ พฤษภา66 ตื่นมาอีกทีอาจงง ทำไมทุกอย่างดูเหมือนเดิม ซัด ตอนนี้ไม่มีแล้ว สองก๊ก-สามก๊ก เหลือก๊กเดียวคือพรรคร่วมรัฐประหารที่หลอมรวมกัน
(24 มี.ค. 68) ที่รัฐสภา ในระหว่างการอภิปรายไม่ไว้วางใจ น.ส.แพทองธาร ชินวัตร เริ่มการอภิปรายโดย นายณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ หัวหน้าพรรคประชาชนในฐานะผู้นำฝ่ายค้าน ระบุว่า ตั้งแต่เดือนพฤษภาคมปี 2566 ที่ผ่านมา ประชาชน 40 ล้านคนเดินเข้าคูหา ด้วยความหวังด้วยความเชื่อมั่นศรัทธาว่ารัฐสภาแห่งนี้จะช่วยแก้ไขปัญหาให้กับพวกเขาได้เพื่อหยุดทศวรรษแห่งความสูญเปล่าเพื่อยืนยันสิทธิความเป็นคนไทยของพวกเราทุกคน ยืนยันสิทธิว่าพอกันได้แล้วกับเก้าปีที่สูญเสียไปที่เราถูกลิดรอนสิทธิพลเมือง ถูกขโมยโอกาสกดขี่คุณภาพชีวิต
แต่หากคนที่หลับไปในช่วงพฤษภาคมปี 2566 แล้วตื่นมาก็อาจจะ แปลกใจว่าทำไมทุกอย่างเหมือนเดิมทำไมรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งในวันนั้นถึงได้แนบแน่นแน่นสนิท ไม่ต่างอะไรจากรัฐบาลที่มาจาก คณะปฏิวัติรัฐประหาร
การบริหารแผ่นดินถูกขับเคลื่อนด้วยผลประโยชน์ของกลุ่มพวกพ้องตนเองการใช้จ่ายงบประมาณแผ่นดินสะเปะสะปะไม่เป็นท่าปล่อยประละเลยชีวิตประชาชนปล่อยให้คนไทยต้องมาเจอปัญหาด้วยสองมือสองแขนและสองขาตัวเอง ตั้งแต่ ปัญหาไฟป่ ลามไปถึงปัญหาฝุ่นpm2.5 ทุนเทา ชายแดน และคอลเซ็นเตอร์
ปัญหาการศึกษาไปถึงการขาดขีดความสามารถในการแข่งขัน ปัญหาปากท้อง ค่าไฟแพง ปัญหาด้านการเกษตร ปลาหมอคางดำ และการทุจริตคอรัปชั่น ทุกวันนี้เรายังต้องเจอปัญหาเหมือนเดิมอยู่
ทั้งที่การเลือกตั้งในปี 2566 ที่ผ่านมาประชาชนคนส่วนใหญ่ของประเทศลงมติกันแล้วว่าอยากได้การเปลี่ยนแปลง ด้วยคำตอบที่สามารถอธิบายทุกอย่างได้ชัดนั้นเริ่มต้นดำรงอยู่และเดินหน้าต่อเพื่อให้เกิด “ดีลแลกประเทศ” เรื่องที่หนึ่งคือผลประโยชน์ของคนตระกูลชินวัตรและครอบครัวยึดเป็นแกนกลางและมีผลประโยชน์ของกลุ่มทุนใกล้ชิดและเครือข่ายการเมืองเป็นแกนรอง ส่วนประเทศและประชาชนนั้นต้องรอไปก่อนเดี๋ยวใกล้วันเลือกตั้งพวกเราค่อยมาปรับบทละครกันอีกทีหรือ
พฤติกรรมที่ต่อเนื่องมาตั้งแต่สมัย เศรษฐา ทวีสิน เป็นนายกรัฐมนตรี ต่อมาจนถึงสมัยของ แพทองธาร ชินวัตร ทำให้หลายคนวิจารณ์ว่ารัฐบาลเพื่อไทยยอมเป็น “นั่งร้าน” ให้กลุ่มอำนาจเดิมเพื่อกลับสู่อำนาจ แต่เวลาพิสูจน์แล้วว่าไม่เป็นความจริง อันที่จริง รัฐบาลเพื่อไทยไม่ได้เป็นนั่งร้านให้กับใคร เพราะพวกเขาได้หลอมหลวมเป็นพวกเดียวกันทั้งหมดแล้ว
พรรคร่วมรัฐบาลทำงานร่วมกันเป็นปี่เป็นขลุ่ย หัวเราะร่วมวงไปด้วยกันได้ ไม่เกี่ยวกับรุ่นหรือภูมิหลังใดๆ เพราะพวกเขาใช้วิธีจัดการผลประโยชน์แบบเดียวกัน ต่อรองผ่านสนามกอล์ฟเหมือนกัน ใช้อำนาจเปลี่ยนดำเป็นขาวเช่นเดียวกัน รู้ช่องทางทำมาหากินผ่านระบบรัฐราชการเหมือนกัน พูดอีกอย่างก็คือนายกรัฐมนตรี คณะรัฐมนตรี และพรรคร่วมรัฐบาลทั้งหมดพูดภาษาเดียวกันและเล่มเกมเดียวกันมาตั้งแต่แรก เรื่องไหนที่เดินหน้ารวดเร็วได้ผิดปกติ ไม่สนคำทักท้วง รีบผลักดัน ก็คือเรื่องที่ดีลผลประโยชน์กันได้ลงตัวแล้ว อย่างเรื่องเอ็นเตอร์เทนเมนต์คอมเพล็กส์ ที่กลายมาเป็นวาระเร่งด่วนให้ความสำคัญเหนือการแก้ปัญหาชาวนาหรือการพัฒนาการศึกษาเพื่อเยาวชน
เมื่อวันที่ 20 มีนาคมที่ผ่านมา ที่สื่อมวลชนถามนายกรัฐมนตรีว่าคิดอย่างไรเมื่อฝ่ายค้านใช้ชื่อการอภิปรายครั้งนี้ว่า “ดีลแลกประเทศ” ท่านถามสื่อมวลชนกลับไปว่า “ตระกูลชินวัตรได้อะไร” สื่อมวลชนก็อธิบายต่อไปว่า “ได้คุณทักษิณกลับบ้าน” นายกรัฐมนตรีก็ตอบเพียงว่า “ได้คุณพ่อกลับมา อ๋อ คงเป็นเรื่องนี้เรื่องเดียวตลอดไป”
อย่างน้อยที่สุด นายกรัฐมนตรีก็ยอมรับว่า ดีลในการจัดตั้งรัฐบาลครั้งนี้เริ่มต้นจากการพาคุณทักษิณกลับบ้านจริงๆ แต่นั่นก็เป็นจุดเริ่มต้นเท่านั้น การอภิปรายสองวันนี้ พรรคประชาชนจะทำให้ประชาชนเห็นว่า ดีลแลกประเทศยังหมายรวมถึงเรื่องอื่นๆ ที่ต้องแลกด้วยผลประโยชน์ของประเทศมากมายมหาศาล
ภายใตัรัฐบาลนี้ ดูเผินๆ เหมือนว่าประเทศไทยน่าจะได้อะไรที่ดีขึ้นกว่ารัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา แต่เวลาผ่านไปเกือบ 2 ปีก็เป็นที่ประจักษ์แล้วว่า ประเทศกลับเสียมากกว่าได้ การเริ่มต้นและตั้งอยู่ของรัฐบาล แพทองธาร ชินวัตร ทำให้ประเทศไทยต้องจ่ายต้นทุนราคาแพงทั้งด้านการเมือง เศรษฐกิจ และสังคม
ในด้านการเมือง ดูเผินๆ เหมือนว่าประเทศไทยได้หวนคืนสู่ระบอบประชาธิปไตยเต็มใบ ได้ออกจากยุคของรัฐบาลที่สืบทอดอำนาจ แต่รัฐบาลเพื่อไทยทำให้ความเป็นประชาธิปไตยของประเทศถดถอยลง ดัชนีชี้วัดความเป็นประชาธิปไตย (Democracy Index) ตกลงจากในปี 2566 จากเดิมอยู่ที่ 6.35 คะแนน เหลือเพียง 6.27 คะแนนในปี 2567 ถูกจัดอยู่ในกลุ่มประเทศที่มีประชาธิปไตยบกพร่อง การแก้ไขรัฐธรรมนูญไม่คืบหน้า หนำซ้ำยังโดนนานาอารยประเทศรุมประณามการส่งตัวชาวอุยกูร์กลับประเทศจีน
นี่คือสิ่งที่เกิดขึ้นในยุครัฐบาลเพื่อไทย ที่ไม่ว่านายกรัฐมนตรีจะรู้ตัวหรือไม่รู้ตัวก็ตาม กำลังทำให้ความเป็นประชาธิปไตยของประเทศเสื่อมถอยลงภายใต้เปลือกของคำว่ารัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้ง
ในด้านเศรษฐกิจ ดูเผินๆ เหมือนจะได้รัฐบาลที่เก่งเรื่องเศรษฐกิจ หลายคนแม้จะไม่เห็นด้วยกับจุดยืนทางการเมืองของพรรคเพื่อไทยก็ยังยอมปิดตาข้างหนึ่งเพื่อหวังให้รัฐบาลเพื่อไทยเข้ามาแก้ไขปัญหาปากท้อง แต่ก็อีกแล้ว พายุหมุนทางเศรษฐกิจไม่เคยเกิดขึ้นเพราะไม่ได้ทำการบ้านอะไรมาล่วงหน้า ที่เคยคุยไว้ว่า (การเติบโตทางเศรษฐกิจ) จะได้ 5% ก็เหลือเพียงแค่ 2.5% แต่ทิ้งไว้ด้วยราคาที่สังคมไทยทุกคนต้องจ่ายอย่างสูง
อันที่จริงแล้ว ความรุ่งเรืองสมัยไทยรักไทยในอดีตนั้นได้รับประโยชน์จาก “ปัจจัยภายนอก” เป็นหลัก ในทศวรรษ 2540 หลังวิกฤตต้มยำกุ้ง รัฐบาลทักษิณได้รับอานิสงส์จากนโยบายดีๆ ที่กองอยู่บนโต๊ะ รอให้คนหยิบไปทำต่อได้ทันที ทั้งหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้าที่เครือข่ายหมอชนบทขับเคลื่อนมายาวนาน ส่วนการกระจายเม็ดเงินสู่รากหญ้าก็มีบทเรียนจากประเทศญี่ปุ่นที่มาพร้อมกับโครงการมิยาซาว่า
อีกด้านหนึ่งค่าเงินบาทที่อ่อนลงก็ช่วยให้การส่งออกของประเทศเติบโตอย่างก้าวกระโดด จากที่การส่งออกเคยมีสัดส่วนเพียง 40% ของจีดีพีก็เพิ่มเป็น 70% ของจีดีพี กลายเป็นหัวหอกเศรษฐกิจของไทยตัวใหม่ แต่น่าเสียดายที่ในรัฐบาลเพื่อไทย นโยบายดีๆ ที่เคยกองอยู่บนโต๊ะตอนนี้ไม่มีอีกแล้ว พอต้องคิดเองทำเองทั้งหมด ผลก็เลยออกมาเป็นแบบที่เป็นอยู่
ในแง่การบริหารประเทศ การได้ทักษิณกลับมาอีกครั้งนี้ ดูเผินๆ เหมือนประเทศไทยจะได้ผู้นำแพ็คคู่ คนหนึ่งดูดีมีประสบการณ์ เดินสายทำงานนอกทำเนียบ ส่วนอีกคนอยู่ในตำแหน่ง เป็นคนรุ่นใหม่ ทำงานในระบบ พร้อมผสานการทำงานกับคนรุ่นเก่า
แต่ก็ไม่ต่างอะไรกับเรื่องการเมืองและเศรษฐกิจ ในความเป็นจริงสิ่งที่เกิดขึ้นคือประเทศไทยกำลังมีผู้นำนอกระบบที่ทำงานนอกทำเนียบเป็นคนชี้นำวาระ ให้ข้อมูลและนโยบายนำหน้ารัฐบาลโดยปราศจากความรับผิดรับชอบใดๆ เพราะไม่ถูกถ่วงดุลตรวจสอบ
วันหนึ่งเคยบอกว่าจะให้ค่าไฟ 3.70 บาท แต่ก็ไม่เคยเกิดอะไรขึ้น ผ่านไป 2 เดือนก็มาบอกอีกทีว่าจะลดให้ค่าไฟเหลือ 2.50 บาท แต่ก็ไม่มีอะไรเกิดขึ้น กลายเป็นคนนอกระบบ พูดไปเรื่อย ไม่ต้องรับผิดชอบอะไรเลย
ส่วนอีกคนที่อยู่ในระบบ แทนที่จะเป็นตัวแทนพลังของคนรุ่นใหม่ กลับขาดทั้งความรู้ความสามารถ วุฒิภาวะ และเจตจำนงทางการเมือง เช่น การตอบคำถามสื่อมวลชนเรื่องค่าเงินบาทแข็งว่าจะไปช่วยการส่งออกที่เป็นข้อผิดพลาดอย่างน่าตกใจ ขาดทั้งวุฒิภาวะ เช่น ขณะที่คนไทยทั่วประเทศรอฟังคำตอบเมื่อช่วงปลายปีว่านายกรัฐมนตรีจะเอาอย่างไรกับเรื่องค่าไฟแพง นายกรัฐมนตรีกลับตอบคำถามสื่อมวลชนว่า “เมอร์รีคริสต์มาส” อีกทั้งยังขาดเจตจำนงทางการเมือง เพราะในช่วง 6 เดือนที่ผ่านมาเราไม่เคยเห็นการผลักดันอะไรที่นายกรัฐมนตรีเป็นผู้นำตัวจริงเลย ตั้งแต่ฝุ่น pm 2.5 ไปจนถึงการแก้ไขรัฐธรรมนูญ มีแต่การลอยตัวหนีปัญหา ไม่สนไม่แคร์ความเดือดร้อนของประชาชน
“เมื่อรวมผู้นำนอกระบบอย่างทักษิณกับผู้นำในระบบอย่างแพทองธารแล้ว ประเทศไทยกลับเสียสองต่อ เพราะมีแต่คนกำหนดวาระที่ทำงานลอยตัว ไม่ต้องรับผิดรับชอบ กับคนที่ถืออำนาจรัฐแต่ขาดคุณสมบัติ”
“ผมอยากให้ท่านตระหนักรู้ไว้อยู่เสมอ ว่าทุกการกระทำของท่านส่งผลต่อความเชื่อมันของประชาชน ท่านจะทำตัวแบบเดียวกับนายกรัฐมนตรีที่มาจากการปฏิวัติรัฐประหาร มองการเมืองในสภาเป็นเพียงเรื่องน่ารำคาญ มองวาระในสภาเสมือนก้อนกรวดในรองเท้า มองนักการเมืองมอง สส. ในสภาเป็นเพียงแค่จำนวนนับให้ท่านจัดตั้งรัฐบาลแบบนี้ไม่ได้”
ทุกนาทีที่ แพทองธาร ชินวัตร ยังดำรงตำแหน่งนายกฯ ต่อ คือต้นทุนชีวิตราคาแพงที่คนไทยต้องจ่าย
เรื่องที่หนึ่งคือเรื่องค่าไฟ ขณะที่ชาวนาและชาวสวนกำลังขาดแคลนแหล่งน้ำเพื่อการเกษตร ต้องสูบน้ำเข้าสวนเข้านาด้วยค่าไฟที่แสนแพง แต่ภาพที่พวกเราเห็นคือนายกรัฐมนตรีตัวจริงออกไปตีกอล์ฟกับกลุ่มทุนพลังงาน เพื่อดีลสัมปทานไฟฟ้ามูลค่าหลายแสนล้านบาท สูบเงินออกจากกระเป๋าชาวนา เกษตรกร และคนไทยทุกคนไปเข้ากระเป๋าเจ้าสัว นี่คือต้นทุนที่ประชาชนต้องจ่ายไปจากดีลแลกประเทศนี้
เรื่องที่ดิน เกษตรกรหลายล้านคนทั้งประเทศต่างเผชิญปัญหาขาดแคลนที่ดินทำกินหรือโดนกล่าวหาเรื่องป่าทับที่ ตื่นลืมตาขึ้นมาก็ต้องลุ้นว่าจะโดนเจ้าหน้าที่รัฐมาฟ้องขับไล่เรียกคืนที่หรือเปล่า แต่สิ่งที่รัฐบาลทำอยู่กลับเป็นการดีลกันของ 2 พรรคร่วมรัฐบาล ที่เป็นเรื่องผลประโยชน์ทับซ้อนกรณีที่ดินมูลค่าหลายพันล้านบาท
ส่วนการปฏิรูปกองทัพประชาชนหมดหวังกับรัฐบาลชุดนี้แล้ว เพราะผลงานที่ผ่านมา 6 เดือนเป็นที่ประจักษ์แล้ว ไม่ว่าจะเป็น พ.ร.บ.ระเบียบราชการกระทรวงกลาโหม ที่มุ่งหวังให้กองทัพอยู่ใต้รัฐบาลพลเรือน รัฐบาลนำโดยพรรคเพื่อไทยก็ถอยไม่เป็นท่า พ.ร.ป.ป.ป.ช. ที่มุ่งหวังให้ทหารที่ทำการทุจริตต้องมาขึ้นศาลยุติธรรมไม่ต่างกับข้าราชการอื่น ไม่ใช่ไปขึ้นศาลทหาร ก็ถูกโหวตคว่ำโดยมี สส.พรรคเพื่อไทย ลุกขึ้นมาอภิปรายในสภาว่า “เพราะรัฐสภาแห่งนี้ตั้งอยู่บนถนนทหาร” เลยต้องเกรงใจทหาร ชัดเจนว่าพรรคเพื่อไทยได้หลอมรวมเข้าไปเป็นพวกเดียวกันกับพวกเขาเป็นที่เรียบร้อยแล้ว พร้อมขัดขวางการปฏิรูปกองทัพทุกรูปแบบ ประชาชนหมดหวังกับการยกเลิกบังคับการเกณฑ์ทหาร ที่ผลการศึกษาชี้ชัดแล้วว่าการบังคับเกณฑ์ทหาร 1 ครั้ง ทำให้ประเทศไทยต้องสูญเสียโอกาสทางเศรษฐกิจไปหลายหมื่นล้านบาท จากคนที่ถูกจับใบแดง
ในด้านความยุติธรรม ขณะที่ประชาชนใน 3 จังหวัดชายแดนใต้ยังรอฟังคำตอบในเรื่องการเดินหน้ากระบวนการสันติภาพใน 3 จังหวัดชายแดนใต้ หลายครอบครัวยังไม่ได้รับการคืนความยุติธรรมจากคดีตากใบ แต่นายกรัฐมนตรีกลับจงใจปล่อยปละละเลย ไม่เร่งรัดติดตามในการนำตัวจำเลยที่หลบหนีไปต่างประเทศกลับมาดำเนินคดีเพื่อคืนความยุติธรรม
ขณะที่นายกรัฐมนตรีตัวจริงนอกระบบกลับได้รับสิทธิอยู่ในชั้น 14 เหนือกฎเกณฑ์ใดๆ เหนือระบบยุติธรรมในประเทศนี้ ที่มี แพทองธาร ชินวัตร ผู้เป็นบุตรสาวรับทราบสถานะพ่อของตัวเองมาโดยตลอด และยังมีกรณีผู้ต้องขังคดีทางการเมืองที่กำลังรอฟังคำตอบในเรื่องการนิรโทษกรรม ที่วันนี้แม้แต่ข้อสังเกตในเล่มรายงาน พรรคเพื่อไทยก็ยังไม่กล้าโหวตรับ หมดหวังกันได้แล้วกับการทวงคืนความยุติธรรมให้กับประเทศนี้
ขณะที่สังคมไทยมีฉันทามติร่วมกันแล้วว่าต้องการผลักดันการยกร่างรัฐธรรมนูญใหม่ทั้งฉบับ แต่นายกรัฐมนตรีกลับลอยตัว ควบคุมเสียงของพรรคร่วมรัฐบาลไม่ได้ ตอกตะปูปิดฝาโลงเป็นที่เรียบร้อยแล้วว่าประชาชนคนไทยจะไม่มีวันมีรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ได้ทันก่อนการเลือกตั้งครั้งหน้าแน่นอน ที่เถียงกันในสภาเป็นเพียงแค่ละครปาหี่ว่าจะทำประชามติกี่ครั้ง ทั้งที่รู้กันอยู่แล้วว่าเป็นการนำข้ออ้างทางกฎหมายมาบังหน้าเหตุผลทางการเมือง เพราะพรรคร่วมรัฐบาลไม่อยากแก้ มีเสียง สว. อยู่ในมือจะแก้ทำไม ประเทศก็เลยต้องสูญเสียไปอีกครั้ง ต้องอยู่ภายใต้กติกาที่ร่างมาโดย คสช. สืบทอดกลไกที่มาจากคณะรัฐประหาร และไม่แก้ไขและดำรงไว้โดยรัฐบาล แพทองธาร ชินวัตร
ในขณะที่ประชาชนคนไทยต้องทนอยู่กับปัญหาที่อยู่รายล้อมรอบตัว เดินออกจากบ้านก็เจอฝุ่น pm 2.5 ใครอยู่ชายฝั่งก็ต้องเจอปลาหมอคางดำ ยังไม่นับรวมสถานการณ์สงครามการค้าโลกที่ห่วงโซ่อุปทานของโลกกำลังฉีกออกเป็น 2 ส่วน บีบให้ทุกประเทศต้องเลือกข้าง หรือผู้ประกอบธุรกิจก็ต้องมีต้นทุนที่สูงขึ้น ภายใต้ปัญหาประเทศที่รุมเร้า บริบทโลกที่บีบรัด เศรษฐกิจไทยกลับโตรั้งท้ายในกลุ่มประเทศอาเซียน ต้นทุนในการดำรงชีวิตของประชาชนสูงขึ้น คุณภาพชีวิตแย่ลง โอกาสในการประกอบธุรกิจหมดไป ขีดความสามารถของประเทศถดถอย สิ่งที่ประเทศไทยเก่งในวันนี้คือสิ่งเดียวกับที่ประเทศไทยเคยเก่งเมื่อ 20 ปีที่แล้ว ไม่สามารถปรับตัวตามโลกที่เปลี่ยนไปได้
จากที่กล่าวมาทั้งหมด รัฐบาลกลับสนใจเพียงการแจกเงินกับการสร้างเอ็นเตอร์เทนเมนต์คอมเพล็กซ์ ซึ่งคงไม่สามารถกู้วิกฤตให้กับประเทศนี้ได้ เพราะเงินหมื่นที่แจกไปได้พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่าแทบไม่ได้กระตุ้นการเติบโตเลย การสร้างเอ็นเตอร์เทนเมนต์คอมเพล็กซ์ก็มองเห็นได้ล่วงหน้า ว่าจะมีผู้ได้รับผลประโยชน์อยู่เพียงเพียงไม่กี่กลุ่ม ก็คือกลุ่มทุนที่ใกล้ชิดกับรัฐบาล นี่คืออีกหนึ่งโอกาสที่คนไทยจะต้องสูญเสียไปจากการที่มีรัฐบาล “คิดไป ทำไป” หาทางซื้อคะแนนเสียงไปวันๆ
ดีลแลกประเทศในครั้งนี้มีเพียงคนไม่ถึง 1% ที่ได้รับผลประโยชน์ แม้จะต้องทำลายล้างระบบนิติรัฐ นิติธรรม หรือกระบวนการประชาธิปไตยในประเทศ ไปถึงการยอมทำให้ประเทศไทยถูกแช่แข็ง เศรษฐกิจล้าหลัง ทิ้งเศษซากปรักหักพังไว้ให้คนอีกกว่า 99% ในประเทศนี้ ในประเทศที่มีความเหลื่อมล้ำทุกมิติ ปัญหาสำคัญของประเทศยังไม่ได้รับการแก้ไข ทั้งเรื่องประสิทธิภาพ ความโปร่งใส ความเป็นประชาธิปไตย ที่ดัชนีตกลงทุกด้าน การทุจริตคอร์รัปชันก็ตกต่ำมากที่สุดในรอบ 12 ปี ยิ่งกว่ายุครัฐบาล คสช. เสียอีก ประชาชนหมดหวังในการทำธุรกิจ การประกอบสัมมาชีพตั้งแต่ภาคการเกษตร ภาคอุตสาหกรรม และการบริการ ปากท้องของคนไทย 99% แย่ลงทุกระดับ
“ถ้ามองไปยังอนาคต ราคาที่ประเทศไทยและคนไทยต้องจ่ายให้กับรัฐบาลแพทองธารจะยิ่งสูงมากขึ้นกว่านี้อีก เพราะไทยยังต้องเผชิญปัญหาการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและสงครามการค้าโลก รัฐบาลนี้ทำให้ประเทศไทยอ่อนแอ คนไทยไม่กล้าฝัน ไม่กล้าหวังถึงอนาคตที่ดีกว่า ต้นตอก็มาจากรัฐบาลชุดนี้ที่เกิดขึ้นจากการจัดตั้งภายใต้ ‘ดีลแลกประเทศ’”
“ถึงวันนี้ ไม่มีแล้ว สองก๊ก สามก๊ก เหลือแค่ก๊กเดียวคือพรรคร่วมคณะรัฐประหาร ที่พวกเขาทั้งหมดคือพวกเดียวกัน หลอมรวมเป็นเนื้อเดียวกันแล้ว” ณัฐพงษ์กล่าว
TAGS:
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
