"ปิยบุตร" ฉะ! "เพื่อไทยวิธี" ปมรัฐสภาล่มวาระแก้ รธน.ย้ำการเมืองวันนี้มี 2 ขั้วไม่ใช่ 3 ก๊ก

"ปิยบุตร" ฉะ! "เพื่อไทยวิธี" ปมรัฐสภาล่มวาระแก้ รธน.ย้ำการเมืองวันนี้มี 2 ขั้วไม่ใช่ 3 ก๊ก

38514 ก.พ. 68 19:25   |     Tum1

"ปิยบุตร" ฉะ! "เพื่อไทยวิธี" ปมรัฐสภาล่มวาระแก้ รธน.ย้ำการเมืองวันนี้มี 2 ขั้วไม่ใช่ 3 ก๊ก ยันนักการเมืองต้องเป็น “กองหน้า” ประชาชน สร้างความเป็นไปได้ใหม่

(14 ก.พ.68) หลังที่ประชุมร่วมรัฐสภา เพื่อพิจารณาร่างรัฐธรรมนูญ แก้ไขมาตรา 256 และเพิ่มหมวด 15/1 ซึ่งมีการขอนับองค์ประชุม พบว่ามีผู้เข้าร่วมเพียง 204 คน ไม่ครบองค์ประชุม ทำให้สภาต้องล่มกลางคันเป็นรอบที่ 2 นั้น

นายปิยบุตร แสงกนกกุล เลขาธิการคณะก้าวหน้า ได้ออกมาโพสต์เฟซบุ๊กส่วนตัว ตอบโต้การชี้แจงของนายสุทิน คลังแสง สส.บัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย และคณะ (แถลงข่าว) ที่พยายามอธิบายประเด็นปัญหาการแก้ไขรัฐธรรมนูญ ว่าในรัฐสภาแบ่งแยกออกเป็น 3 จำพวกนั้น นายปิยบุตร ยืนยันว่าไม่เป็นความจริง แต่เป็นวิธีการที่พรรคเพื่อไทยชอบใช้เป็นข้ออ้าง โดยนิยามว่าเป็น "เพื่อไทยวิธี" ที่ประชาชนต้องรู้เท่าทัน พร้อมย้ำว่า วันนี้การเมืองไม่ได้มี 3 ก๊ก แต่มีแค่ 2 ขั้ว คือขั้วพลังเก่า ล้าหลัง ยอมจำนนเพื่อขออยู่ในอำนาจ กับขั้วพลังใหม่ ก้าวหน้า ที่ต้องการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างอำนาจการเมืองให้ได้สมดุล 


เลขาธิการคณะก้าวหน้า โพสต์เนื้อหาระบุว่า นายสุทิน คลังแสง และคณะ พยายามอธิบายว่า ประเด็นปัญหาเรื่องการแก้ไขรัฐธรรมนูญในรัฐสภาแบ่งแยกออกเป็น 3 จำพวก ได้แก่ "ไม่แก้-ได้แก้-แก้ได้" โดยพวกเขา คือ พวก “แก้ได้” ต้องการแก้ไขรัฐธรรมนูญให้สำเร็จ พยายามหาหนทางแก้ไขให้ได้ หาก “เดินตรง” แล้วติดขัดมีอุปสรรค ก็ต้อง “เดินอ้อม” ไปเสียหน่อยเพื่อแก้ไขให้ได้ มิใช่ดันทุรัง “หัวชนกำแพง” เพื่อสักแต่จะบอกว่า “ได้แก้” แล้ว แต่สุดท้าย “แก้ไม่ได้” ชุดคำอธิบายแบบนี้ มิใช่เป็นปรากฏการณ์ใหม่ (แต่)พรรคเพื่อไทยเคยใช้คำอธิบายแบบนี้มาโดยตลอด 



นายปิยบุตร ยังระบุถึง หลังเหตุการณ์ “ฆ่าหมู่กลางมหานคร” ปี 2553 ที่พรรคเพื่อไทยชนะการเลือกตั้งได้เป็นรัฐบาล แต่ไม่มีการแก้ไขรัฐธรรมนูญ , ไม่มีการปฏิรูปศาลรัฐธรรมนูญและองค์กรอิสระ , ไม่มีการปฏิรูปกองทัพ และไม่มีการนำผู้กระทำความผิดกรณีสลายการชุมนุมคนเสื้อแดง มาดำเนินคดีได้ ตามที่ประชาชนคาดหวัง กลับใช้คำว่า “แก้ไข ไม่แก้แค้น” ขึ้นมาแทนที่ประกาศในการหาเสียงที่ฮึกเหิม 

แม้พยายามแก้ไขรัฐธรรมนูญ เพื่อให้มีสภาร่าง รธน.มาจัดทำ รธน.ใหม่ทั้งฉบับ แต่ศาลรัฐธรรมนูญขัดขวาง ด้วยการวินิจฉัยว่าควรไปทำประชามติ พรรคเพื่อไทยยอมถอย เปลี่ยนไปแก้แบบรายมาตรา แต่ศาลรัฐธรรมนูญก็ขวางอีก และพรรคเพื่อไทยก็ถอยอีก สุดท้าย การแก้ไขรัฐธรรมนูญก็ไม่เกิดขึ้น 


ในการหาเสียงเลือกตั้งปี 2566 ช่วงท้ายๆ พรรคเพื่อไทยพยายามชูธงเรื่องการจัดการมรดกคณะรัฐประหาร การแก้ไขรัฐธรรมนูญ จะจัดการเรื่องคดีเกี่ยวกับการแสดงออกทางการเมือง และหลายครั้งทำนองว่า พรรคก้าวไกล เพ้อฝัน สุดท้ายทำอะไรไม่ได้ แต่วันนี้เมื่อพรรคเพื่อไทยได้เป็นรัฐบาล ไม่มีการยกเลิกเกณฑ์ทหารภาคบังคับ , ไม่มีการแก้ไขรัฐธรรมนูญ , ไม่มีการลบล้างผลพวงรัฐประหาร , ไม่มีการนิรโทษกรรมคดีเกี่ยวกับการแสดงออกทางการเมือง และไม่มีการพูดในสภาฯ เรื่อง มาตรา 112 มีแต่ออกตัวทุกวันว่า "ไม่แตะต้อง" และการหาวิธีปล่อยตัวชั่วคราว คดี 112 ก็ไม่มี 

มีแต่รัฐบาล “ข้ามขั้ว” คุณทักษิณ ชินวัตร ได้กลับมาบ้าน ได้อภัยโทษ ไม่ต้องคิดคุกแม้แต่วันเดียว และคุณแพทองธาร เป็นนายกรัฐมนตรี พรรคเพื่อไทยส่งตัวแทนที่มีประวัติการต่อสู้อยู่บ้าง ออกมาพูดทำนองว่า “พี่เจ็บมาก่อน พี่รู้ดี” , “ดันทุรังทำไปทำไม ในเมื่อมันทำไม่ได้" , “เข้าไปมีอำนาจก่อน อย่างน้อยก็ได้ทำ” , “คนแบบพวกพี่ ผ่านการต่อสู้มา ทำไมจะไม่คิดเรื่องการต่อสู้ แต่เราต้องอยู่กับความเป็นจริง หาโอกาสเข้าไปทำก่อนทีละน้อย” หรือคำว่า “ต้องกินข้าวทีละคำ” 



เลขาธิการคณะก้าวหน้า โพสต์ต่อด้วยว่า วันนี้ข้ออ้างเรื่องการแก้ไขรัฐธรรมนูญ ก็กลับมาวนเวียนกันอยู่กับคำอธิบายแบบเดิม ทั้งหมดเพื่อยืนยันว่า พรรคเพื่อไทย คือพรรคที่ยืนอยู่บนความเป็นจริง หาหนทางเท่าที่มี ทำเท่าที่ได้ ชุดคำอธิบายแบบนี้ ปรับให้ทันสมัยด้วยการขายพ่วงมากับ “การเมือง 3 ก๊ก” ผลักฝ่ายหนึ่ง ให้เป็นพวกอนุรักษ์นิยม ล้าหลัง ผลักอีกฝ่ายหนึ่ง ให้เป็นพวกก้าวหน้า สุดโต่ง ส่วนพวกตนเอง(พท.) คือ พวกที่มีจุดยืนประชาธิปไตยเหมือนเดิม แต่มีประสบการณ์ ประนีประนอมเพื่อเข้าไปมีอำนาจ ทั้งๆที่ในความเป็นจริงแล้ว พวกเขา (พท.) ก็อยู่ในพวกอนุรักษ์นิยม ล้าหลังสวามิภักดิ์กับเจ้าของใบอนุญาตที่ 2 เพียงแต่ เล่นบทให้ต่างกัน และพรรคเพื่อไทยจะใช้ “เพื่อไทยวิธี” แบบนี้ไปตลอด ใช้อธิบายกับทุกๆเรื่องที่พรรคเพื่อไทย (ไม่)ทำ จนกระทั่งนำไปหาเสียงในการเลือกตั้งครั้งหน้า ดังนั้น ประชาชนต้องรู้เท่าทัน “เพื่อไทยวิธี” 


นายปิยบุตร ระบุว่า นักการเมือง พรรคการเมือง ผู้แทน เห็นประชาชนเป็นเพียง “จำนวนนับ” ที่ทำให้เขาได้มีอำนาจ เมื่อไรที่ต้องการ “ประชาชน” เป็น “สะพาน” สู่อำนาจก็เข้าหา แต่เมื่อมีอำนาจก็ไม่ทำ โดยอ้างสารพัดเหตุผลว่า ทำไม่ได้ ติดขัดที่พรรคร่วม ติดขัดที่พรรคฝ่ายค้าน ติดขัดที่วุฒิสภา ฯลฯ ทั้งหมดเพื่อรักษาสถานะ สส.ให้ได้เป็นรัฐมนตรี ได้เป็นรัฐบาลต่อไป 

ขณะที่ เราต้องการนักการเมืองที่เป็น “กองหน้า” ประชาชน สร้างความเป็นไปได้ใหม่ หมดเวลาของนักการเมืองที่ต้องการรักษาโครงสร้างสถานะอำนาจเดิม รักษา status quo การเมืองวันนี้ ไม่มี 3 ก๊ก แต่มีแค่ 2 ขั้ว คือขั้วพลังเก่า ล้าหลัง สวามิภักดิ์ใบอนุญาตที่ 2 เพื่อขออยู่ในอำนาจ (แต่แสดงบทบาทในโรงละครต่างกันไป) กับขั้วพลังใหม่ ก้าวหน้า ต้องการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างอำนาจการเมืองให้ได้สมดุล


ข้อมูลที่เกี่ยวข้อง :


ข่าวที่เกี่ยวข้อง :


TAGS:

ข่าวที่เกี่ยวข้อง