“ทนายแจม” โพกผ้าแดงก่อนโยนทิ้ง ซัดรัฐบาลไม่เห็นหัวคนร่วมต่อสู้
“ทนายแจม” โพกผ้าแดงก่อนโยนทิ้ง ซัดรัฐบาลไม่เห็นหัวคนร่วมต่อสู้

“ทนายแจม” โพกผ้าแดงก่อนโยนทิ้งกลางสภา ลั่นเคยมี “ทักษิณ” เป็นแรงบันดาลใจ ซัดรัฐบาลไม่เห็นหัวคนร่วมสู้ นายกฯ เคยบอกถ้าเป็นรัฐบาลจะขอความเมตตาจากศาลให้ผู้ต้องหาคดีการเมือง แต่วันนี้ยังอยู่ในคุกนับ 40 คน มี 23 คนไม่ได้รับสิทธิประกันตัวสู้คดี
(25 มี.ค. 68) ที่รัฐสภาวานนี้(24 มี.ค.) น.ส.ศศินันท์ ธรรมนิฐินันท์ หรือทนายแจม สส.กทม. พรรคประชาชน อภิปรายไม่ไว้วางใจ น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ระบุว่านายกรัฐมนตรีลอยตัวเหนือปัญหาไม่มีความรับผิดชอบต่อตำแหน่งหน้าที่ เพียงเพราะเห็นแก่ผลประโยชน์ของตัวเองและครอบครัว ประพฤติตนเสมือนนายกรัฐมนตรีหุ่นเชิดโดยมีบุคคลในครอบครัว เป็นนายกรัฐมนตรีตัวจริง ที่ไม่ต้องรับผิดชอบต่อการใช้อำนาจ
1 ปีครึ่งที่ผ่านมา ภายตั้งรัฐบาลที่ดีลกัน บนผลประโยชน์ทับซ้อน ของชนชั้นนำ คนไทยต้องสูญเสียไปเท่าไหร่ เพื่อให้คนบางคนกลับบ้าน และเพื่อให้ “แพทองธาร ชินวัตร” เป็นนายกรัฐมนตรี ดีลแลกประเทศในครั้งนี้ต้องแลกกับความยุติธรรม และสิทธิเสรีภาพของประชาชนขณะที่ประชาชนถูกทิ้งไว้นอกกระดาน เพราะเป็นดีลล้มกระดาน รัฐบาลผสมพันธุ์ข้ามขั้ว การจับมือตั้งรัฐบาลราวกับว่า ก่อนหน้านี้ไม่เคยมีการต่อสู้ของประชาชนมาก่อนเลย ดังสุภาษิตที่ว่า ช้างสารชนกัน หญ้าแพรกก็แหลกลาญ เมื่อผู้มีอำนาจดีลกัน ประชาชนก็ไม่จำเป็นต้องอยู่ในสมการอีกต่อไป
น.ส.ศศินันท์ กล่าวว่า นายกรัฐมนตรีเคยกล่าวไว้ว่า ทันทีที่ได้เป็นรัฐบาลจะขอความเมตตาต่อศาล ให้ปล่อยตัวนักกิจกรรมทางการเมือง และพรรคเพื่อไทยไม่เห็นด้วยกับการแก้ไข มาตรา 112 เพราะว่า ถูกนำมาใช้เป็นเกมการเมือง
แต่ปรากฎว่า ปัจจุบัน รัฐบาลนี้ยังมีการฟ้องร้องคดีทางการเมืองอย่างต่อเนื่อง ตอนนี้มีผู้ต้องหาทางการเมืองอย่างน้อย 39 คน และมี 23 คนในจำนวนนี้ที่ไม่ได้รับสิทธิขั้นพื้นฐาน คือสิทธิในการประกันตัว ระหว่างการต่อสู้คดีนโยบายนิรโทษกรรมให้ประชาชน แต่พรรคเพื่อไทยกลับหายไปกับสายลม กลัวอำนาจมืดที่อยู่เบื้องหลัง กลืนน้ำลายตัวเอง ให้อดีตผู้นำจากตระกูลชินวัตรกลับเข้ามามีอำนาจอีกครั้ง คว่ำกฎหมายสำคัญเพื่อแลกกับการที่จะอยู่ในอำนาจให้นานที่สุด เพื่อพ่อ เพื่อครอบครัวของท่าน “คนอื่นไม่ได้มีพ่อเหมือนท่านหรือคะ”
น.ส.ศศินันท์ กล่าวต่อว่า นอกจากนี้ยังตีหมุด ตอกฝาโลง ย้ำความสองมาตรฐาน นายกรัฐมนตรี และพรรคเพื่อไทยทำให้ความสองมาตรฐานกลับมาอีกครั้ง ในกรณีที่ นายทักษิณ ชินวัตร หรือพ่อของท่าน ไม่ต้องติดคุกแม้แต่วันเดียว
เมื่อถึงตรงนี้นายพิเชษฐ์ ประธานในที่ประชุม ได้ขอให้ถอนชื่อนายทักษิณออก เพราะให้ออกจากญัตติไปแล้ว ทำให้น.ส.ศศินันท์ อภิปรายขอเปลี่ยน เป็น “ชายคนนั้น” ก่อนจะระบุว่า ชายคนนั้นไม่ต้องติดคุกเลย แม้แต่วันเดียว รวมถึงได้รับการรักษาพยาบาลเป็นอย่างดี ซึ่งนักโทษคดีทางการเมืองทั่วไป ที่ไม่ใช่พ่อนายกรัฐมนตรี หรือชายคนนั้น ยอมให้ส่งตัวไปรักษาก็ช้ามาก ทั้งที่เป็นเคสใกล้วิกฤต เทียบกรณี การเสียชีวิตในเรือนจำ ของ “บุ้ง” น.ส.เนติพร เสน่ห์สังคม ที่จนถึงเดือน พ.ค.นี้ ยังไม่ได้ไต่สวนการตายเลย
“กระบวนการยุติธรรมสองมาตรฐาน เกิดขึ้นในรัฐบาลของแพทองธาร ขึ้นกับคนที่เคยใช้และเกิดขึ้นกับคนที่เคยใช้คำนี้เอง เจ้าของวลี กลับเป็นคนที่ได้รับอภิสิทธิ์นั่นเอง ชายคนนั้น ที่เคยบอกไว้ว่า ตัวเองถูกกระบวนการยุติธรรมสองมาตรฐานเล่นงาน ในวันนี้ท่านกลับได้รับอภิสิทธิ์ นั้นเอง ยังต้องถามอีกหรือไม่ว่า ดีล ครั้งนี้ชินวัตรได้อะไร” น.ส.ศศินันท์ กล่าว
น.ส.ศศินันท์ กล่าวอีกว่า ตนเติบโตมาสนใจการเมือง เพราะ อดีตนายกรัฐมนตรี ที่ชื่อว่า “ทักษิณ ชินวัตร” ท่านจุดประกายความคิดให้เด็กคนหนึ่ง 20 ปี เมื่อท่านถูกรัฐประหาร ตนก็ร่วมต่อสู้กับคนเสื้อแดง ด้วยความเชื่อเหลือเกินว่าประเทศของเราจะมีประชาธิปไตย ที่สมบูรณ์จริงๆ เชื่อเหลือเกินว่า เราจะสามารถหยุดวงจรปฏิวัติรัฐประหาร ได้จริงๆ เราจะสามารถหยุดความยุติธรรมสองมาตรฐานได้
จากนั้น น.ส.ศศินันท์ ได้หยิบแถบผ้าสีแดง ระบุข้อความ “เรา รัก ทักษิณ” มาโพกศีรษะ พร้อมระบุว่าผ้าผืนนี้ตนเก็บรักษาไว้ตลอด ไม่เคยคิดว่าเด็กคนหนึ่งที่อยู่ในม็อบเสื้อแดง จะมายืนในสภาแห่งนี้ได้ ตนเก็บไว้ด้วยความภาคภูมิใจ ที่ครั้งหนึ่งเคยร่วมต่อสู้กับคุณพ่อของท่าน เจ็บแค้นเจ็บใจ กับสิ่งที่ท่านและครอบครัวของท่านถูกกระทำ เจ็บปวด กับการสูญเสียของวีรชนประชาธิปไตยศพแล้วศพเล่า แต่สุดท้ายพวกท่านก็ดีลกัน บนความสูญเสียของประชาชน ดีลกันบนความเจ็บปวดของวีรชน ท่านดีลกัน เพื่อแลกทุกอย่างกับ ความยุติธรรมและสิทธิ เสรีภาพของประชาชนจำนวนมาก เพียงเพื่อประโยชน์ของตัวเอง และครอบครัว ก่อนที่จะดึงผ้าคาดหัวทิ้ง
น.ส.ศศินันท์ กล่าวในช่วงท้ายว่า ทุกอย่างที่เราต่อสู้มาด้วยกันจนวันนี้เกือบ 20 ปี ท่านนายกรัฐมนตรี คุณพ่อของท่านและพรรคเพื่อไทย ทำให้ตนรู้สึกว่าการต่อสู้ที่ผ่านมา เป็นการสูญเปล่าทางการเมืองและการสูญเปล่าทางการเมืองนี้เกิดจาก “ดีลปีศาจ” ที่พวกท่านดีลกัน เพื่อเข้าสู่อำนาจทางการเมือง ความสูญเสียความยุติธรรม และเสรีภาพ ที่ถูกลิดรอนไปกลับไม่ได้อะไรกลับมาเลย และเหตุผลที่กล่าวมาทั้งหมดตนจึงไม่อาจไว้วางใจ ให้น.ส.แพทองธาร ชินวัตรอยู่ในตำแหน่ง นายกรัฐมนตรี ที่ ไม่ได้สนใจความยุติธรรม และเพิกเฉยต่อสิทธิเสรีภาพ ของประชาชนแบบนี้ต่อไปได้คิดได้สักที
TAGS:
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
