ดราม่า!"ผาหัวสิงห์"เขาค้อ ภาพเปรียบเทียบ 9 ปี ป่าหาย รีสอร์ทผุดพรึ่บ
ดราม่า!"ผาหัวสิงห์"เขาค้อ ภาพเปรียบเทียบ 9 ปี ป่าหาย รีสอร์ทผุดพรึ่บ

ดราม่า!"ผาหัวสิงห์"เขาค้อ ภาพเปรียบเทียบ 9 ปี ป่าหาย รีสอร์ทผุดพรึ่บ ด้านชาวบ้านเห็นต่างบอกไม่อยากปลูกผักตลอดชีวิต ต้องปรับตัวเพื่ออยู่รอด รัฐควรเห็นใจ
(17มี.ค.68) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า กรณีดราม่าบนโลกออนไลน์มีการนำภาพเปรียบเทียบบริเวณ"ผาหัวสิงห์" บ้านดอยน้ำเพียง ในเขตองค์การบริหารส่วนตำบลบ้านเนิน อ.หล่มเก่า จ.เพชรบูรณ์ โดยเป็นการนำเสนอภาพตั้งแต่ปี 2559 เปรียบเทียบกับภาพในปัจจุบัน (2568) ที่แสดงให้เห็นถึงความเปลี่ยนแปลงของพื้นที่ดังกล่าว
ความคืบหน้าผู้สื่อข่าวได้ติดต่อไปยังผู้ว่าราชการจังหวัดเพชรบูรณ์ ซึ่งได้รับแจ้งว่าทางจังหวัดอยู่ระหว่างการตรวจสอบข้อมูล และในขณะนี้ปัญหาดังกล่าวได้ยุติลงแล้ว โดยรีสอร์ทที่ปรากฏในภาพเป็นสิ่งปลูกสร้างในพื้นที่นิคมพัฒนาตนเอง ซึ่งไม่ใช่พื้นที่ของอุทยานแห่งชาติเขาค้อ ทั้งนี้ ทางอุทยานได้มีการดำเนินการปักป้ายแนวเขตและรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างที่รุกล้ำในพื้นที่อุทยานออกหมดแล้ว
อย่างไรก็ตามโพสต์ดังกล่าวได้ก่อให้เกิดกระแสวิพากษ์วิจารณ์ในวงกว้าง โดยเฉพาะความคิดเห็นจากชาวบ้านในพื้นที่ที่ออกมาแสดงมุมมองของตนเองเกี่ยวกับการพัฒนาและการเปลี่ยนแปลงของพื้นที่ โดยมีผู้ใช้เฟซบุ๊กที่คาดว่าเป็นชาวบ้านรายหนึ่ง แสดงความคิดเห็นว่า
"พวกเราคนดอยไม่อยากปลูกผักตลอดชีวิต ถึงเราไม่เอาความเจริญ แต่ยุคสมัยมันเปลี่ยนไป ความเจริญเข้ามาหาเราเอง เราไม่เคยไปร้องขอความเจริญ แต่เราต้องปรับตัวเพื่ออยู่รอด เมื่อมีโอกาสทำเงินก็ต้องทำ รัฐควรเห็นใจและเปิดโอกาสให้ชาวบ้านในพื้นที่สามารถดำเนินชีวิตได้ตามความเหมาะสม"
นอกจากนี้ ผู้ใช้เฟซบุ๊กรายนี้ยังกล่าวถึงประเด็นเรื่องขยะและการพัฒนาในพื้นที่ว่า "ทำไมต้องคาดหวังว่าบนดอยต้องมีแต่ต้นหญ้าต้นไม้ ? มีคนอยู่ที่ไหนก็ต้องมีขยะที่นั่น บ้านคุณเองก็มีขยะเป็นร้อยตัน การทำลายป่ามีอยู่ทุกที่ ทุกจังหวัด ไม่สามารถแก้ไขได้ทั้งหมด แต่เมื่อเกิดอุทกภัยก็มักจะโทษว่ามาจากภูเขา ทั้งที่ฝนตกทุกพื้นที่ ไม่ใช่แค่บนดอย"
ขณะที่ทางการอำเภอหล่มเก่าและ สจป.4 พล. ได้ชี้แจงกรณีดังกล่าวว่า ในพื้นที่ที่ปรากฏดังกล่าวเป็นพื้นที่คาบเกี่ยวระหว่างพื้นที่อุทยานแห่งชาติเขาค้อและพื้นที่ป่าไม้ ตามพระราชบัญญัติป่าไม้ พุทธศักราช 2484 และที่แก้ไขเพิ่มเติม ซึ่งพื้นที่ผาหัวสิงห์ที่ปรากฏตามภาพข่าว ที่ได้มีการก่อสร้างอาคารสิ่งปลูก สถานที่พัก นั้น อำเภอหล่มเก่าได้ดำเนินการตามข้อสั่งการผู้ว่าราชการจังหวัดเพชรบูรณ์ โดยบูรณาการร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ได้แก่
- เจ้าหน้าที่หน่วยป้องกันรักษาป่า พช.18 (น้ำชุน)
- เจ้าหน้าที่ชุดปฏิบัติการป่าไม้พิเศษเพชรบูรณ์
- เจ้าหน้าที่กองบังคับการปราบปรามการกระทำผิดเกี่ยวกับทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (บก.ปทส.) จังหวัดเพชรบูรณ์
- เจ้าหน้าที่อุทยานแห่งชาติเขาค้อ
- องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น
- ผู้นำท้องที่
โดยได้ร่วมเข้าดำเนินการจับกุมผู้ก่อสร้างอาคารปลูกสร้างในพื้นที่ผาหัวสิงห์ได้ส่งฟ้องผู้ต้องหา เรื่อง ก่อสร้าง แผ้วถาง หรือกระทำด้วยประการใด ๆ อันเป็นการทำลายป่าหรือเข้าไปยึดถือหรือครอบครองป่าเพื่อตนเองหรือผู้อื่นโดยไม่ได้รับอนุญาตจากพนักงานเจ้าหน้าที่
ด้านสำนักจัดการทรัพยากรป่าไม้ที่ 4 สาขาพิษณุโลก แจ้งว่า คณะพนักงานเจ้าหน้าที่ได้ทำการตรวจยึดพื้นที่และดำเนินคดี ตามพระราชบัญญัติป่าไม้ พุทธศักราช 2484 ปรากฏตามคดีอาญาของสถานีตำรวจภูธรหล่มเก่า ดังนี้
1.1 คดีอาญาที่ 213/2566 ลงวันที่ 19 กรกฎาคม 2566
1.2 คดีอาญาที่ 214/2566 ลงวันที่ 19 กรกฎาคม 2566
1.3 คดีอาญาที่ 282/2566 ลงวันที่ 20 กรกฎาคม 2566
ต่อมาสถานีตำรวจภูธรหล่มเก่า มีหนังสือแจ้งผลคดี ตามข้อ 1. ดังนี้
2.1 คดีอาญาที่ 213/2566 ลงวันที่ 19 กรกฎาคม 2566 พนักงานอัยการมีคำสั่งไม่ฟ้อง
2.2 คดีอาญาที่ 214/2566 ลงวันที่ 19 กรกฎาคม 2566 พนักงานอัยการมีคำสั่งไม่ฟ้อง
2.3 คดีอาญาที่ 282/2566 ลงวันที่ 20 กรกฎาคม 2566 พนักงานอัยการมีคำสั่งให้งดการสอบสวน
โดยคดีที่อัยการสั่งไม่ฟ้อง เพราะพยานหลักฐานไม่พอฟ้อง มีคำวินิจฉัยสรุปความได้ว่า พื้นที่เกิดเหตุอยู่ในเขตพื้นที่จัดสรรให้เป็นที่อยู่อาศัยและทำกินตามมติคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 18 มกราคม 2509 อีกทั้งบริเวณพื้นที่เกิดเหตุมีการก่อสร้างสิ่งปลูกสร้างต่าง ๆ ในลักษณะเดียวกันเป็นจำนวนมาก ทำให้ผู้ต้องหาเข้าใจโดยสุจริตว่าที่ดินในเขตที่ทางราชการจัดสรรให้ ผู้ต้องหาจึงมีสิทธิ์ทำประโยชน์ การกระทำของผู้ต้องหาจึงขาดเจตนาในการกระทำความผิดทางอาญา
สำนักจัดการทรัพยากรป่าไม้ที่ 4 สาขาพิษณุโลก พิจารณาแล้วเห็นว่า แม้พนักงานอัยการมีคำสั่งไม่ฟ้องเพราะเห็นว่าผู้ต้องหาเชื่อโดยสุจริตว่ามีอำนาจกระทำได้ แต่พื้นที่บริเวณดังกล่าวยังมีสถานะเป็นป่า ตามมาตรา 4 (1) แห่งพระบัญญัติป่าไม้ พุทธศักราช 2484 ซึ่งอยู่ในอำนาจหน้าที่ของกรมป่าไม้ในการควบคุม กำกับดูแล ป้องกันการบุกรุกทำลายป่า ดังนั้น เพื่อป้องกันมิให้ผู้ต้องหาหรือบุคคลอื่นใด กลับเข้าไปดำเนินการกระทำความผิดต่อไป จึงได้สั่งการมอบหมายให้พนักงานเจ้าหน้าที่ทำการปักป้ายประกาศข้อความแจ้งเตือนบริเวณพื้นที่เกิดเหตุ แจ้งว่าในพื้นที่บริเวณดังกล่าว เป็นป่าตามพระราชบัญญัติป่าไม้ 2484 การทำประโยชน์โดยไม่ได้รับอนุญาต ถือว่าเป็นการบุกรุก ทั้งนี้ เพื่อป้องกันมิให้ผู้ใดฝ่าฝืนกระทำการต่อไป
สถานะของที่ดินบริเวณที่เกิดเหตุเป็นพื้นที่ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 18 มกราคม 2509 มอบให้กรมประชาสงเคราะห์ดำเนินการจัดตั้งนิคมสร้างตนเองสงเคราะห์ชาวเขา แต่เนื่องจากพื้นที่ดังกล่าวมีสภาพเป็นป่าไม้และภูเขาสูงบางพื้นที่สูงชัน เป็นต้นน้ำลำธาร มีฝนตกหนาแน่นไม่เหมาะสมกับการจัดตั้งเป็นนิคมสร้างตนเอง ประกอบกับช่วงเวลาดังกล่าวมีการสู้รบกันในพื้นที่ระหว่างผู้ก่อการร้ายคอมมิวนิสต์กับรัฐบาล ทำให้จนถึงปัจจุบันยังไม่สามารถตราพระราชกฤษฎีการองรับการจัดตั้งนิคมดังกล่าวได้ ศูนย์พัฒนาราษฎรบนพื้นที่สูงจังหวัดเพชรบูรณ์ กระทรวงพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ จึงไม่มีอำนาจตามกฎหมายและไม่สามารถดำเนินการจัดสรรพื้นที่ดินให้ราษฎรได้ พื้นที่บริเวณดังกล่าวจึงมีสถานะทางกฎหมายเป็นป่าตามมาตรา 4 (1) แห่งพระบัญญัติป่าไม้พุทธศักราช 2484
ทั้งนี้ สำนักจัดการทรัพยากรป่าไม้ที่ 4 สาขาพิษณุโลก จะส่ง จนท.ป่าไม้ไปตรวจสอบ และดำเนินการตามหน้าที่ ต่อไป
ข่าวเวิร์คพอยท์23