'สีจิ้นผิง' สวนกลับภาษี 'ทรัมป์' จิ้มจุดอ่อน 'ภาคการเกษตรสหรัฐฯ'

'สีจิ้นผิง' สวนกลับภาษี 'ทรัมป์' จิ้มจุดอ่อน 'ภาคการเกษตรสหรัฐฯ'

36603 เม.ย. 68 21:22   |     AdminNews

จีนจิ้มจุดอ่อนสหรัฐฯ! สั่งรีดภาษีสินค้าเกษตรหลัง 'ทรัมป์' ขึ้นภาษีสุดโหด บังคับใช้วันเดียวกัน

3 เมษายน 2568 หลังจากประธานาธิบดีสหรัฐฯ โดนัลด์ ทรัมป์ ประกาศมาตรการภาษีนำเข้าใหม่เมื่อวันที่ 2 เมษายน 2568 โดยกำหนดอัตราภาษีพื้นฐาน 10% สำหรับสินค้าทุกประเทศ และเพิ่ม "ภาษีตอบโต้" เฉพาะบางประเทศ ซึ่งมีผลตั้งแต่วันที่ 9 เมษายน 2568 และจีนกลายเป็นหนึ่งในเป้าหมายหลักที่เผชิญอัตราภาษีสูงถึง 54% (จากภาษีเดิม 20% บวกเพิ่ม 34%) สถานการณ์นี้จุดกระแสความตึงเครียดทางการค้า และล่าสุดจีนได้ออกมาประกาศมาตรการตอบโต้อย่างเป็นทางการแล้วเช่นกัน ด้วยการขึ้นภาษีสินค้าเกษตรของสหรัฐฯ 15 % และบังคับใช้วันเดียวกันกับสหรัฐฯ


จากรายงานของสำนักข่าวต่างประเทศ Reuters ระบุว่า กระทรวงพาณิชย์จีนแถลงเมื่อช่วงบ่ายวันที่ 3 เมษายนว่า รัฐบาลจีน "คัดค้านอย่างหนักแน่น" ต่อนโยบายภาษีของทรัมป์ และจะดำเนิน "มาตรการตอบโต้ที่เด็ดขาด" เพื่อปกป้องผลประโยชน์ของชาติ พร้อมระบุว่า:


จีนจะเริ่มเก็บภาษีสินค้าเกษตรจากสหรัฐฯ เพิ่มเติมในอัตรา 15% โดยสินค้าที่จะถูกบังคับใช้ทันที คือ ถั่วเหลือง เนื้อหมู และข้าวโพด ซึ่งเป็นสินค้าส่งออกหลักของสหรัฐฯ ที่มีมูลค่าการค้ากับจีนสูง โดยมาตรการนี้คาดว่าจะเริ่มในวันที่ 9 เมษายนนี้ พร้อมกันกับที่ภาษีของทรัมป์ เริ่มมีผลบังคับใช้


โฆษกกระทรวงพาณิชย์จีนระบุว่า ภาษี 54% ของสหรัฐฯ ถือเป็น "การกลั่นแกล้งทางการค้า" ที่ไม่สอดคล้องกับกฎการค้าโลก และจะส่งผลเสียต่อการพัฒนาเศรษฐกิจโลก จีนยังชี้ว่า มาตรการนี้กระทบการส่งออกมูลค่า 582,400 ล้านดอลลาร์ (หรือราว 19.51 ล้านล้านบาท) ในปี 2567 ซึ่งเป็นส่วนสำคัญของเศรษฐกิจจีนที่กำลังเผชิญการชะลอตัวอยู่แล้ว 


โดยนักวิเคราะห์ในต่างประเทศคาดการณ์ผลกระทบแบบโซ่อุปทานที่จะเกิดขึ้นกับสหรัฐฯ หลังจีนเริ่มบังคับใช้กำแพงภาษีการเกษตรดังกล่าว ซึ่งจีนถือเป็นตลาดนำเข้ารายใหญ่ที่สุด โดยเฉพาะถั่วเหลือง คิดเป็นมูลค่ากว่า 12,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯต่อปี ดังนี้:

1. การเก็บภาษี 15% สินค้าเกษตรดังกล่าว จะทำให้ราคาสินค้าประเภทนี้ในตลาดจีนสูงขึ้น ลดความสามารถในการแข่งขันเมื่อเทียบกับคู่แข่งอย่าง บราซิลและอาร์เจนตินา ซึ่งอาจเข้ามาแทนที่ในตลาดจีน ซึ่งในระยะยาว เกษตรกรสหรัฐฯ อาจเผชิญรายได้ที่ลดลงอย่างมาก และอาจส่งผลให้เกิดความไม่พอใจในหมู่ผู้สนับสนุน 'ทรัมป์' ในรัฐที่เป็นฐานเสียงสำคัญของเขา ซึ่งรายได้ที่หายไปของเกษตรกรชาวอเมริกัน อาจนำไปสู่การเรียกร้องเงินอุดหนุนจากรัฐบาลกลางเพิ่มเติม เพิ่มภาระงบประมาณของสหรัฐฯต่อไปอีกทอด


2. การที่จีนลดการนำเข้าสินค้าเกษตรจากสหรัฐฯ อาจทำให้เกิดภาวะสินค้าล้นตลาดในสหรัฐฯ โดยเฉพาะเนื้อหมูและข้าวโพด หากเกษตรกรหาตลาดใหม่ทดแทนไม่ได้ ราคาสินค้าในประเทศอาจตกต่ำในระยะสั้น แต่ในระยะยาว หากจีนหันไปซื้อจากแหล่งอื่น สหรัฐฯ อาจต้องพึ่งพาการนำเข้าสินค้าเกษตรจากที่อื่นมากขึ้น ซึ่งจะผลักดันราคาอาหารในประเทศให้สูงขึ้น ส่งผลให้ผู้บริโภคชาวอเมริกันต้องเจอกับค่าครองชีพที่เพิ่มขึ้น โดยเฉพาะในสินค้าที่ใช้ถั่วเหลืองและข้าวโพดเป็นวัตถุดิบ เช่น ผลิตภัณฑ์จากนมและเนื้อสัตว์ สวนทางกับเป้าหมายของทรัมป์ที่ต้องการลดราคาสินค้าในประเทศ


3. ถั่วเหลืองและข้าวโพดไม่เพียงเป็นสินค้าเกษตร แต่ยังเป็นวัตถุดิบสำคัญในอุตสาหกรรมอาหารสัตว์และพลังงานชีวภาพ (เช่น เอทานอล) การสูญเสียตลาดจีนอาจกระทบผู้ผลิตอาหารสัตว์และโรงงานเอทานอลในสหรัฐฯ ซึ่งพึ่งพาการส่งออกไปจีนเพื่อรักษาความสมดุลของอุปสงค์และอุปทาน ส่งผลให้เกิดการเลิกจ้างงาน


4. จีนอาจตอบโต้ด้วยมาตรการที่รุนแรงขึ้นกว่านี้ เช่น จำกัดการส่งออกแร่หายาก ซึ่งสหรัฐฯ ยังต้องพึ่งพาจีนถึง 80% ของความต้องการในอุตสาหกรรมเทคโนโลยีและการทหารของตนที่ต้องใช้แร่หายากเป็นองค์ประกอบสำคัญ ส่งผลให้ต้นทุนการผลิตเทคโนโลยีสูงขึ้นและอาจเสียเปรียบคู่แข่งอย่าง ยุโรป หรือญี่ปุ่น


5. ท้ายที่สุด การตอบโต้ของจีนอาจทำให้ราคาสินค้าเกษตรในตลาดโลกผันผวน ซึ่งจะกระทบพันธมิตรของสหรัฐฯ เช่น ญี่ปุ่นและเกาหลีใต้ ที่พึ่งพาการนำเข้าถั่วเหลืองและข้าวโพดจากสหรัฐฯ หากสหรัฐฯ สูญเสียส่วนแบ่งตลาดให้คู่แข่ง อาจทำให้ความสัมพันธ์กับพันธมิตรตึงเครียด สหรัฐฯจะต้องเผชิญแรงกดดันทางการทูตจากพันธมิตรให้ผ่อนคลายนโยบายภาษี เพื่อลดผลกระทบต่อห่วงโซ่อุปทานโลกต่อไป


ข่าวที่เกี่ยวข้อง :

จีนสวนคืน! รีดภาษีสินค้าเกษตรสหรัฐฯหลัง 'ทรัมป์' ขึ้นภาษีสุดโหด - สั่งบังคับใช้วันเดียวกัน

นายกฯ แถลงพร้อมเจรจาสหรัฐฯ หลังเจอตั้งกำแพงภาษี 36%


TAGS:

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

Thailand Web Stat