ชาวนาจวก “ปุ๋ยคนละครึ่ง” ไม่ต่อบโจทย์-สร้างหนี้เกษตกร

ชาวนาจวก “ปุ๋ยคนละครึ่ง” ไม่ต่อบโจทย์-สร้างหนี้เกษตกร

27901 ก.ค. 67 11:20   |     ข่าวเวิร์คพอยท์

ชาวนาจวกโครงการปุ๋ยคนละครึ่งที่กำลังจะคิกออฟกลางเดือนนี้ ระบุสร้างหนี้โดยไม่จำเป็น เพราะชาวนาต้องมีเงินสมทบก่อน แถมกำหนดไร่ละ 1,000 บาท ถ้าซื้อปุ๋ยไม่ถึงเงินเข้ากระเป๋าใคร

(1 ก.ค. 67) ผู้สื่อข่าวลงพื้นที่สอบถามความคิดเห็นของชาวนา ในพื้นที่บ้านโนนรัง ต.สาวะถี อ.เมือง จ.ขอนแก่น ถึงโครงการสนับสนุนการซื้อปัจจัยการผลิต เช่น ปุ๋ยเคมี ปุ๋ยอินทรีย์ และสารชีวภัณฑ์ ให้กับเกษตรกรผู้ปลูกข้าวทั่วประเทศ เพื่อลดต้นทุนการผลิต โดยให้เกษตรกรลงทะเบียนเข้าร่วมโครงการปุ๋ยคนละครึ่งได้ผ่านแอปพลิเคชัน BAAC Mobile ของ ธ.ก.ส. ตั้งแต่วันที่ 15 ก.ค. 67 ที่รัฐบาลกำลังจะดำเนินการในอีกไม่กี่วันข้างหน้า 


ผู้สื่อข่าวได้พูดคุยกับนายวิรัตน์ โพธิ์ศรีเรือง อายุ 58 ปี ประธานศูนย์ส่งเสริมและผลิตพันธ์ข้าวชุมชนสาวะถี กล่าวว่า จริงๆ แล้วโครงการนี้เป็นโครงการที่ดี เริ่มต้นจากเกษตรกรรวมตัวกัน เข้าไปคุยกับกรมการข้าวเรื่องเงินสนับสนุนปุ๋ยสูตรแตกกอและสูตรแตกรวง การพูดคุยก็เข้าใจกันทุกฝ่าย จากนั้นกรมการข้าวก็ดำเนินการต่อ โดยนำเรื่องเข้ากรรมาธิการ แล้วก็ออกมาเป็นแบบนี้ ซึ่งไม่ตอบโจทย์เกษตรกร



ยิ่งช่วงนี้หาเงินยากแล้วยังจะให้เกษตรกรเอาเงินไปสมทบที่ ธกส. ก่อนถึงจะได้ปุ๋ย ถ้าเกษตรกรรายไหน ไม่มีเงินไปสมทบ จะทำอย่างไร สรุปเกษตรกรรายนั้นจะไม่ได้เงินช่วยเหลือจากโครงการนี้เลย ถ้าเปรียบเทียบรัฐบาลนี้กับรัฐบาลลุงตู่ สู้รัฐบาลลุงตู่ไม่ได้เลย ห่างไกลกันมาก เพราะรัฐบาลลุงตู่ให้เกษตรกรจริงๆให้แบบไม่มีเงื่อนไขใดๆ ทั้งโครงการเครื่องจักรกล โครงการอินทรีย์ล้านไร่ที่เกี่ยวกับเกษตรกร


แต่รัฐบาลนี้เหมือนเอาเกษตรกรไปเป็นเครื่องมือทางการเมือง เอาไปเป็นเครื่องเล่น ถ้าโครงการนี้ถ้าใครไม่มีเงินสมทบก็จะไม่ได้รับการช่วยเหลือ เหมือนเป็นการสร้างหนี้ให้กับเกษตรกรเพิ่ม ถ้าไม่มีเงินก่อนจะทำอย่างไร



นายวิรัตน์ กล่าวอีกว่า โครงการนี้ยังมีอะไรหลายอย่างไม่ชัดเจน เหมือนเป็นการโยนหินถามทาง เป็นกระบวนการที่มีความยุ่งยาก เพราะตอนนี้เงินทองหายากเศรษฐกิจก็ไม่ดี เกษตรกรหาเช้ากินค่ำ มีหนี้สินครัวเรือน แล้วยังจะต้องหาเงินไปซื้อปุ๋ยอีก ถ้าจ่ายเป็นเงินมาช่วยเหลือเข้าบัญชีเกษตรกรเลย แล้วให้เกษตรไปเลือกซื้อปุ๋ยสูตรไหนก็เรื่องของเกษตรกร เพราะเกษตรกรจะรู้ดีกว่าใครว่าพื้นที่ไหนควรใช้ปุ๋ยอะไรจึงจะเหมาะสมกับสภาพพื้นที่เพาะปลูก และร้านค้าปุ๋ยก็จะมีการแข่งขันกัน และลดราคาแข่งกันเป็นผลดีกับเกษตรกรมากกว่า


แต่ถ้าจะช่วยเหลือแบบไร่ละ 500 บาท แต่ไม่มีค่าเก็บเกี่ยว ก็ไม่ต้องมาช่วยดีกว่า เพราะเงิน 500-1,000 บาทมีความหมายมากกับชาวนา ถ้าไม่มีเงินตรงนี้มาช่วยเหลือ และการกำหนดราคาปุ๋ยมาไร่ละ 1,000 บาท ถ้าเกษตรกรซื้อปุ๋ยไม่ถึงกระสอบละ 1,000 บาท เงินที่เหลือ หรือเงินทอนที่เหลือจะเข้ากระเป๋าใคร เงินส่วนนี้จะไปอยู่ไหน ทางที่ดีโอนเงินเข้าบัญชีเกษตรกรเหมือนเดิมให้เกษตรกรไปบริหารจัดการเองจะดีกว่า



TAGS:

ข่าวที่เกี่ยวข้อง