ส่อคดีพลิก! อาสา ตร. แจงเข้าระงับเหตุ ไม่ได้เมา-ปืนจ่อหัวคู่กรณี

ส่อคดีพลิก! อาสา ตร. แจงเข้าระงับเหตุ ไม่ได้เมา-ปืนจ่อหัวคู่กรณี

36304 ก.ค. 67 21:59   |     AdminNews

ฟังอีกด้าน! กรณีหนุ่มร้องสื่อถูก 'อาสาตำรวจ' เมากร่าง-บุกบ้านเอาปืนจ่อหัว ล่าสุดญาติแฉมีประวัติหลอนยา-ขังเมีย ขณะที่อาสา ตร.เผยอีกมุมวันนั้นเป็นการ "เข้าไปช่วยระงับเหตุ" ไม่มีเจตนาทำร้ายผู้เสียหาย

จากกรณีเมื่อวันที่ 2 ก.ค.67 ชาย อายุ 39 ปี ชื่อ ปุ้ย (นามสมมติ) ร้องข่าวเวิร์คพอยท์ถูกอาสาตำรวจเมากร่าง-บุกบ้านเอาปืนจ่อหัว ขณะกำลังนอนหลับอยู่ภายในที่พักเวลาประมาณ 15.00 น. โดยระหว่างนั้นมีตำรวจ 2 นาย ได้เข้ามาปลุกสะกิดให้ตื่น จากนั้น 1 ในตำรวจได้มีการชี้หน้าตนแล้วพูดขึ้นว่า “เย็นนี้มีปัญหาอะไร เดี๋ยวมึงเจอกับกู” ก่อนที่ทั้งคู่จะเดินออกไป และต่อมาช่วงเย็นวันเดียวกันเวลาประมาณ 17.00 น. ขณะที่ภรรยาของนายปุ้ย กำลังเก็บออกจากบ้านเพื่อไปหาแม่ที่ ตจว. นายปุ้ยพยายามเข้าไปห้ามปรามขอร้องภรรยาไม่ให้ไป ระหว่างนั้นได้มี "นายมด" ซึ่งเป็นลูกน้องคนสนิทของนายตำรวจท่านหนึ่งยศ ร.ต.ท. ได้วิ่งออกมาจากร้านหมูกระทะที่อยู่ฝั่งตรงข้ามที่พักในท่าทีคล้ายคนเมา พร้อมกับมีการสไลด์ปืนคล้ายจะข่มขู่


จากนั้นเกิดการชี้หน้าด่าทอกัน ด้วยคำพูดที่หยาบคายซึ่ง นายปุ้ย ผู้ร้องเรียนเผยว่า ไม่เคยรู้จักหรือมีปัญหากับนายมดมาก่อน จึงพยายามตั้งสติและเข้าไปแย่งปืนแต่ไม่สามารถแย่งได้ จากนั้นทางนายมดได้ใช้ปืนจ่อหัวตน ตามที่ได้มีการรายงานข่าวไปก่อนหน้า จนกลายเป็นกระแสวิพากษ์วิจารณ์ในการกระทำของอาสาตำรวจรายนี้


"อาสาตำรวจ" ยอมรับถือปืนเข้าไปในเหตุการณ์ เพราะต้องเข้าไป "ระงับเหตุ" ยันเป็น 'ปืนปลอม' ไม่ได้มีเจตนาจะทำร้ายผู้เสียหาย

ล่าสุด(3 ก.ค.67)ทีมข่าวเวิร์คพอยท์ได้เดินทางไปพูดคุยกับ "นายมด" อาสาสมัครตำรวจซึ่งเป็นบุคคลในภาพกล้องวงจรปิด(คนถือปืน) เผยว่า เหตุการณ์ดังกล่าวเกิดขึ้นหลังตำรวจได้รับแจ้งเหตุ 191 จากภรรยาของนายปุ้ย(ผู้ร้องเรียนกับสื่อ)ว่า ถูกสามีกักขังหน่วงเหนี่ยวเอาไว้ พร้อมมีการทำร้ายร่างกายเป็นเวลา 2 วันแล้ว จากนั้นตนและหมวดดาซึ่งเป็นเจ้าหน้าที่ตำรวจ ได้เข้าไประงับเหตุทันที


โดยเมื่อไปถึงบ้านที่เกิดเหตุ ตนได้ช่วยฝ่ายหญิงออกมาจากบ้าน โดยฝ่ายหญิงยืนยันว่าจะขอเลิกและเก็บข้าวของกลับบ้าน ในขณะที่นายปุ้ยกำลังนอนหลับอยู่ภายในบ้าน ซึ่งทางตำรวจและตนได้เข้าไปพูดคุยห้ามปราบกับนายปุ้ย(ผู้เสียหาย) จากนั้นผู้เสียหายได้ขับรถออกไปซื้อของ 


จนกระทั่งนายปุ้ย กลับเข้ามาที่บ้านช่วงเวลาประมาณ 17:30 น. ซึ่งเป็นจังหวะเดียวกับที่ภรรยาได้มีการเก็บข้าวของกลับไปอยู่บ้านกับแม่ เนื่องจากมีปัญหาครอบครัวกับฝ่ายชาย ไม่สามารถอยู่ด้วยกัน แต่ทางนายปุ้ย -ผู้เสียหาย ไม่ยินยอมกลับอาละวาดโวยวาย ซึ่ง ณ ตอนนั้น ตนเกรงว่าจะเกิดเรื่องอันตราย จึงวิ่งเข้าไประงับเหตุทันที ซึ่งตนมีคลิปเหตุการณ์ตั้งแต่ต้น แต่ไม่สามารถเปิดเผยข้อมูลกับผู้สื่อข่าวได้ เนื่องจากทุกอย่างอยู่ในสำนวนคดีทั้งหมด 


ในส่วนอาวุธปืนนั้น ตนยืนยันว่าเป็นเพียงปืนแบลงค์กัน ตนยืนยันว่า เป็นอาวุธเพียงเพื่อเข้าไประงับเหตุการณ์เท่านั้น ไม่ได้เจตนาจะเข้าไปทำร้ายร่างกายแต่อย่างใด แต่ทางผู้เสียหายได้มีการเข้ามาฉุดกระชากแย่งปืนจากตน จึงทำให้ตนจำเป็นต้องจับผู้เสียหายให้หยุดอยู่กับที่ เพื่อสงบสติอารมณ์ ก่อนจะปล่อยผู้เสียหายไป ในขณะที่ หมวดดา ก็พยายามเข้ามาห้ามปราบ พูดจาไกล่เกลี่ยให้ผู้เสียหายใจเย็น โดยก่อนหน้านี้ ตนยืนยันว่าเคยเข้าไประงับเหตุทะเลาะวิวาทของสามีภรรยาคู่นี้หลายครั้งแล้ว ส่วนมากจะเป็นปัญหาที่ฝ่ายชายหึงหวงฝ่ายหญิงและมักคิดว่าฝ่ายหญิงมีคนอื่น 


นายมด เผยต่อว่า ตนมาเป็นอาสาสมัครตำรวจตั้งแต่ปี 2549 ไม่เคยมีประวัติที่ทำอะไรเกินกว่าเหตุจากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ตนก็รู้สึกตกใจไม่คาดคิดว่าเรื่องราวจะบานปลายขนาดนี้ ตนมองว่าผู้เสียหายอาจจะเกิดความไม่เข้าใจ เขาคิดว่าเขาถูกรังแก แต่จริงๆแล้วเขาไม่ได้มีการเปิดเผยมาตั้งแต่ต้นว่าสาเหตุที่แท้จริงเกิดจากอะไร แต่ตนยืนยันว่าฝั่งตนก็มีหลักฐานทุกอย่าง หลังจากเกิดเหตุตนได้มีโอกาสพูดคุยกับพ่อของผู้เสียหาย ซึ่งพ่อของผู้เสียหายก็เข้าใจสถานการณ์ทุกอย่างไม่ได้ติดใจเอาความแต่อย่างใด 


ด้าน นายดอน ซึ่งเป็นอดีตผู้ใหญ่บ้านและมีศักดิ์เป็นลุงของผู้ร้อง(นายปุ้ย) มีการโทรศัพท์ติดต่อมาเป็นตัวแทนไกล่เกลี่ย และมีการพูดกับทางผู้เสียหายประมาณว่า “ให้ผู้เสียหายยืนยันกับตำรวจว่า นายมด ได้มีการถืออาวุธปืนปลอมข่มขู่นั้น ตนมองว่า อาจจะเป็นการสื่อสารที่เข้าใจผิด เพราะผู้เสียหายนั้น ก็มีศักดิ์เป็นหลานของพ่อตน เป็นเครือญาติกัน ทางพ่อตนก็คงไม่ได้เข้าข้างเจ้าที่ตำรวจอย่างที่ผู้เสียหายเข้าใจ แต่คงไม่อยากให้เรื่องมันบานปลาย เพราะที่ผ่านมา “หมวดดา” ก็ปฏิบัติดูแลประชาชนเป็นอย่างดีมาโดยตลอดและพ่อของตนก็มักจะมาขอความช่วยเหลือกับ “หมวดดา” เวลาที่ผู้เสียหายทะเลาะกับภรรยาให้เข้าไปช่วยระงับเหตุ


จากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ตนก็รู้สึกตกใจไม่คาดคิดว่าจะเป็นเรื่องราวบานปลายขนาดนี้ และยืนยันว่าตั้งแต่หลังเกิดเรื่องก็ไม่มีใครไปวนเวียนอยู่หน้าบ้านของผู้เสียหายแต่อย่างใด สำหรับผู้เสียหายนั้นเท่าที่ตนรู้จักและพูดคุยกันมา ผู้เสียหายเป็นคนใจร้อนและชอบเอะอะโวยวายอยู่เป็นประจำ จนทำให้เครือญาติหลายหลายคนไม่กล้าเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับครอบครัวผู้เสียหายแต่อย่างใด 


เบื้องต้นในส่วนความคืบหน้าคดีนั้น เจ้าหน้าที่ตำรวจสภ.บางสะพาน ได้สอบปากคำผู้เสียหายแล้วอยู่ในระหว่างการทำสำนวนส่งฟ้องศาล ซึ่งทุกอย่างไปทำไปตามขั้นตอนกระบวนการของกฎหมาย

TAGS:

ข่าวที่เกี่ยวข้อง