“กบ ไมโคร” รับเป็นแม่ข่าย ยันไม่ต้องการเงินคืน มาให้ปากคำในฐานะ 'ผู้เสียหาย'

“กบ ไมโคร” รับเป็นแม่ข่าย ยันไม่ต้องการเงินคืน มาให้ปากคำในฐานะ 'ผู้เสียหาย'

27915 ต.ค. 67 16:19   |     AdminNews

“กบ ไมโคร” ถามว่าสูญกว่า 2 ล้านบาท เรียกผู้เสียหายได้ไหม? หากรู้เป็นแชร์ลูกโซ่ก็จะไม่ทำ

15 ต.ค.67 จากกรณี “กบ ไมโคร” นักดนตรีชื่อดัง ออกมาแฉว่าตนถูกบริษัทขายตรงยักษ์ใหญ่ หลอกให้เป็นดาวน์ไลน์ สูญเงินจำนวนมาก พร้อมวิจารณ์ธุรกิจดังกล่าวหนักกว่าธุรกิจ 18 มงกุฎ ขณะเดียวกัน เพจ "อีซ้อขยี้ข่าว" ได้เกาะติดการแฉบริษัท ดิไอคอน กรุ๊ป และเผยรายชื่อบุคคลที่เกี่ยวข้อง รวมถึงคลิป กบ ไมโคร ที่เคยขึ้นเวทีของบริษัท ทำให้เกิดการวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนักในสังคมออนไลน์ มีแฟนๆ ตั้งคำถามถึงบทบาทที่แท้จริงของ “กบ ไมโคร” ว่าอาจไม่ได้เป็นผู้เสียหายอย่างที่อ้าง แต่เป็นโค้ชที่เสียผลประโยชน์จากธุรกิจ

ล่าสุด “กบ ไมโคร” เดินทางเข้าพบเจ้าที่ตำรวจ ปคบ. พร้อมเปิดเผยว่า เมื่อ 2 เดือนที่แล้ว ตนได้ไปแจ้งความเอาไว้ที่สถานีตำรวจนครบาลประเวศ ในวันนี้เดินทางมาเพื่อพบกับเจ้าหน้าที่เพื่อแสดงความบริสุทธิ์ใจ และพร้อมให้ความร่วมมือในทุกประการที่เจ้าหน้าที่ต้องการจึงมาแสดงตัวเอาไว้ก่อน 


ขณะนี้มีประเด็นเรื่องของคลิปที่ออกไปเป็นไวรัลเมื่อวานนี้ อย่างไรก็ตามก็มาแสดงตัว เพราะตอนนี้คนกำลังคลุมเครือว่าตนเองเป็นผู้เสียหาย เป็นแม่ทีม หรือเป็นผู้สมรู้ร่วมคิด ในอนาคตเป็นอย่างไรตนเองไม่ทราบ แต่ตอนนี้มาก่อน ตนเองไม่ทราบว่ากระบวนการเป็นยังไงแต่ยังไงก็ต้องมา


สำหรับคลิปที่ปรากฏนั้น คือ หลังจากที่ตนเองสมัครเข้าไปในบริษัทได้ประมาณ 4 - 5 เดือน ในการขึ้นไปพูดจะมีหัวข้อชื่อ “rising star” เพื่อจะบอกเล่าว่าเหตุผลอะไรถึงมาขายของออนไลน์ ขึ้นไปบอกเล่าแบ่งปันว่าอะไรที่ทำให้มาขายของออนไลน์ พอขายแล้วเป็นยังไง ตนเองรับหน้าที่ที่จะพูดตรงนั้น โดยไม่ได้รับค่าจ้างแต่อย่างใด


ในส่วนของตนเองเปิดไป 5 ดีลเลอร์ ของภรรยา 2 + 3 ที่เป็นคนในบ้าน รวมทั้งหมด 10 ดีลเลอร์ ส่วนเรื่องการไม่ได้รับค่าจ้างคือประเด็นที่ตนเองขึ้นไปแบ่งปันบนเวที ส่วนที่ไปเที่ยวประเทศฝรั่งเศส คือ ทริปโปรโมชั่น แต่ละครั้งที่มีการเปิดดีลเลอร์ไป จะมีโปรเพื่อจูงใจให้เรารีดีลเลอร์ 


ที่ผ่านมาหากถามถึงกำไรจากการขายของนั้น ในตอนแรกขายพอได้ แต่เมื่อถึงจุดหนึ่ง ปรากฏว่าขายไม่ได้ ไม่ว่าจะเป็นช่องทางออนไลน์หรือขายตรงกับคนรู้จัก สุดท้ายของเหลือก็นำไปถวายพระ และแจกให้แก่ญาติกิน และในช่วงเวลาที่ใกล้หมดอายุก็จำเป็นต้องขายตัดราคา ซึ่งตนเองยอมรับว่าเป็นเรื่องที่ผิด แต่ทุกคนก็ทำแบบนี้กันหมดเพราะต้องถ่ายของออกไป เพื่อเอาทุนคืนบางส่วน


เมื่อสักครู่ได้มีการขึ้นไปด้านบนวอรูมแล้ว แต่ยังไม่ได้คุยกับเจ้าที่ตำรวจ ลงมาพูดคุยกับสื่อมวลชนก่อนตามนัดหมายที่ตนเองได้โพสต์ผ่าน Facebook ส่วนตัวเอาไว้  


ในระหว่างที่ทำงานไปช่วงเวลาที่ตนเองทำงานกับบริษัทนี้ประมาณ 1 ปีกว่าๆ เราจะต้องมาอยู่ในมนต์สะกด ไม่เถียง ไม่ถาม ทำตามอย่างเดียว เมื่อมีรีดีลเลอร์ออกมา จะมีแม่ทีมคอยบอกว่า “ถ้าคุณไม่เปิด ใครจะเปิดกับคุณ” ตนเองจึงเข้าไปร่วม และคาดหวังว่าจะขายของได้


ตนเองยอมรับว่าเป็นแม่ทีม และมีคนที่รักตนเองตามมาเปิดดีลเลอกับตนเอง ร์จำนวน 8 ดีลเลอร์ แต่ตนเองไม่เคยปิดการขายกับ 8 คนนี้ ซึ่งในแปดคนนี้ทำให้ตนเอง ออกมาจากธุรกิจตรงนี้ เพราะ 8 คนนี้ ขายของไม่ได้ เมื่อขายไม่ได้ เริ่มมีการพูดถึงว่าตกลงแล้วเป็นธุรกิจอะไร จึงค่อยๆถอยออกมาจากธุรกิจ และหาข้อมูลว่าเป็นธุรกิจอะไร ซึ่งในวันนี้จำนวน 8 คนนี้ ได้มอบอำนาจให้ตนเองเป็นผู้ดูแลเรื่องคดี ยอมรับว่าทุกคนคืออยากได้ตังคืนนอกจากตนเอง แต่ตอนนี้ยังไม่รู้เลยว่าเราสู้อยู่กับอะไร จะชนะคดีหรือไม่ ปัญหาที่เกิดขึ้นกับดิไอคอนเป็นปัญหามานานแล้ว แต่ก็มีคนโดนฟ้องกลับเป็นเรื่องหมิ่นประมาท ทำให้ไม่มีคนกล้าออกมา


ที่ตนเองบอกว่าเริ่มผิดสังเกตกับธุรกิจนี้ และถอยออกมานั้น ตนเองเลิกทำมาตั้งแต่ประมาณเดือนกรกฎาคม สิงหาคม ปี 2566 ส่วนตัวเคยได้เจอบิ๊กบอสของบริษัท คือ “บอสพอล” พร้อมเล่าอีกว่า บิ๊กบอสมีคนเดียว คือบอสพอล และล่างลงมาจากบอสมีอีก 10 บอส แล้วจากนั้นก็จะมีเครือข่ายอีก ซึ่งที่ผ่านมามีการยืนยันมาตลอดว่านี่ไม่ใช่ธุรกิจเครือข่าย จะใช้คำว่าเฟรนไชส์ ไม่มีคำว่าอัพไลน์ ดาวน์ไลน์ ซึ่งทุกคนก็เดินเข้าไปโดยที่ไม่รู้ว่าเป็นทำธุรกิจเครือข่าย


ความน่าเชื่อถือสูงสุดคือตัวเลขผลประกอบการ 4,000 กว่าล้าน ที่ทำให้ตนเองตัดสินใจเข้าไปร่วมธุรกิจ 4,000 กว่าล้านบาท ในเวลาไม่กี่ปี ตนเองมองว่านี่ไม่ใช่ความโลภ แต่มองหาความมั่นคง กว่าตนเองจะเข้าใจว่า 4,000 ล้านบาท มาจากอะไร ใช้เวลานานเพราะตนเองไม่เก่งเรื่องธุรกิจ


ณ เวลานี้ตนเองได้ยินว่าเป็นแชร์ลูกโซ่ เชื่อว่าหากคนทราบว่าเป็นแชร์ลูกโซ่ ก็จะไม่มีใครทำ ไม่มีใครรู้แม้กระทั่งว่าเป็นธุรกิจเครือข่าย เพราะเชื่อว่าถ้ารู้จะไม่เดินมาจนถึงตรงนี้


โดยรวมแล้วเฉพาะตนเองมูลค่าความเสียหายประมาณ 1 ล้านกว่า ภรรยาก็ใกล้เคียงกัน รวมแล้วประมาณ 2 ล้านบาท พร้อมถามกลับว่า แบบนี้ตนเองถือเป็นผู้เสียหายหรือไม่? ส่วนลูกทีมเปิดดีลเลอร์อีก 8 คน คนละ 250,000 บาท พอถึงจุดหนึ่งขายของไม่ได้ และภรรยาของตนเองก็นำของมาช่วยขาย


ส่วนในการขึ้นไปพูดด้านบนเวทีนั้น ตนเองไม่ขอใช้คำว่ามีสคริปต์ แต่มีกรอบ ในช่วงเวลา 5 เดือนแรก ที่ตนเองก้าวเข้าไปในดิไอคอน ตนเองทุ่มสุดชีวิต ให้กับการทำงานขายของออนไลน์ จากนั้นจึงมีกรอบให้ตนเองขึ้นไปพูดแบ่งปันเรื่องการขายของออนไลน์ แต่ไม่ใช่เป็นสคริปต์ที่เขียนทุกคำพูด แต่มีวิธีที่ทำบริษัทสอน ซึ่งท้ายที่สุดวิธีนี้ก็คือ ธุรกิจเครือข่าย แต่ในขณะนั้นตนเองไม่รู้จัก


ตนเองได้เจอบอสพอลตั้งแต่วันแรกที่ก้าวเท้าเดินเข้าไปในธุรกิจ ส่วนตัวไม่ได้เชื่อในคำพูดของบอสพอล แต่เชื่อในตัวเลขยอดขายของบริษัท 4,000 ล้านบาท


TAGS:

ข่าวที่เกี่ยวข้อง