วิวาทะ “รัศม์ ชาลีจันทร์” ก่อน-หลังเปิดชื่อประเทศที่ 3 แสดงความพร้อมรับผู้ลี้ภัยอุยกูร์จากไทย

วิวาทะ “รัศม์ ชาลีจันทร์” ก่อน-หลังเปิดชื่อประเทศที่ 3 แสดงความพร้อมรับผู้ลี้ภัยอุยกูร์จากไทย

29106 มี.ค. 68 12:10   |     ข่าวเวิร์คพอยท์

ย้อนอ่านความเห็น “รัศม์ ชาลีจันทร์” ผู้ช่วยรัฐมนตรีต่างประเทศ เรื่องข่าวประเทศที่ 3 ขอรับผู้ลี้ภัยชาวอุยกูร์ ก่อนและหลังจะมีการเปิดเผยรายชื่อประเทศดังกล่าว

(6 มี.ค. 68) ยังคงเป็นประเด็นไม่จบสำหรับกรณีผู้ลี้ภัยชาวอุยกูร์ ที่มีหลายฝ่ายร่วมแสดงความคิดเห็น วิพากษ์วิจารณ์ถึงความเหมาะสมของการผลักดันผู้ลี้ภัยกลับประเทศจีนในครั้งนี้ 1 ในเรื่องที่มีการถกเถียงกนมาที่สุดคือกรณีที่รัฐบาลแถลงว่าไม่มีประเทศที่ 3 ต้องการรับตัวผู้ลี้ภัยกลุ่มดังกล่าว ขณะที่ฝ่ายค้านอย่าง สส.กัณวีร์ สืบแสง ระบุว่าที่ผ่านมาเคยมีการติดต่อจากประเทศที่ 3 ว่าพร้อมรับตัวผู้ลี้ภัยไปดูแล


รัศม์ ชาลีจันทร์ ผู้ช่วยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ และเป็นอดีตเอกอัครราชทูตเกษียณอายุ ได้ออกมาพูดถึงกรณีดังกล่าว เมื่อวันที่ 2 มี.ค. ที่ผ่านมา ระบุว่า “ขอชี้แจงเรื่องอุยกูร์ต่ออีกสักนิด ที่มีคนออกมาบอกว่ามีประเทศที่สามยินดีรับชาวอุยกูร์ที่เหลือกลับไปนั้น ผมขอยืนยันว่าไม่มีจริง


เพราะอะไร? ง่ายๆ คือโดยปกติถ้ามีประเทศที่สามยินดีรับไปอย่างจริงจัง ประเทศเหล่านี้จะต้องมีหนังสือแจ้งยืนยันความประสงค์มาเป็นทางการต่อรัฐบาลไทย โดยผ่านกระทรวงการต่างประเทศ หรือผ่านสถานเอกอัครราชทูตไทยในประเทศนั้นๆ ซึ่งไม่มีครับ


อาจเป็นไปได้ที่มีบางประเทศเคยแสดงความประสงค์โดยเฉพาะในช่วงเมื่อ 11 ปี ที่แล้ว ซึ่งก็ได้มีการส่งตัวชาวอุยกูร์บางส่วนไปแล้ว แต่หลังจากนั้นมาจนถึงปัจจุบัน สำหรับชาวอุยกูร์ที่ยังตกค้าง ไม่มีประเทศใดมีหนังสือแสดงความจำนงเป็นทางการมาเลยนอกจากประเทศจีน 


ซึ่งในแง่หนึ่งก็เข้าใจได้ เพราะการรับตัวไปประเทศที่สามนั้นไม่ได้ทำง่ายๆ หลายประเทศก็ต้องรักษาความสัมพันธ์ที่ดีกับจีนไว้ ไม่อยากเป็นศัตรูกับจีน และต่อให้ระดับประเทศมหาอำนาจอื่น เขาก็มีเรื่องการเมืองภายในประเทศ ที่การรับผู้ลี้ภัยเพิ่มเติมมาสู่สังคมเป็นเรื่องอ่อนไหว ที่ไม่ช่วยในการสร้างคะแนนความนิยม จึงไม่มีประเทศไหนอยากทำจริง


และขอย้ำว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องการดำเนินการระดับรัฐบาลต่อรัฐบาลเท่านั้น ที่ต้องตกลงกัน การไปติดต่อผ่านองค์การระหว่างประเทศ จะ UNHCR ก็ไม่เกี่ยว หรือเป็นนักการเมืองที่ขณะนั้นยังไม่ได้เป็นรัฐบาล หรือ NGO กลุ่มใดก็ไม่ได้ จะต้องเป็นระดับรัฐบาลต่อรัฐบาลเท่านั้น 


จึงขอเรียนชี้แจงมาเพิ่มเติมตามนี้ครับ”


แต่หลังจากนั้นได้มีการเปิดเผยข้อมูลเพิ่มเติม ทั้งบันทึกชวเลขการประชุม(บันทึกการประชุมอย่างละเอียด) ของที่ประชุมคณะกรรมาธิการการกฎหมาย การยุติธรรม และสิทธิมนุษยชน เมื่อวันที่ 10 ก.ค. 2567 โดยอ้างว่าผู้แทนจากกระทรวงการต่างประเทศได้ให้ข้อมูลกับทาง กมธ. ว่าประเทศสหรัฐอเมริกา, สวีเดน, และออสเตรเลีย แสดงความพร้อมรับตัวผู้ลี้ภัย และรายงานพิเศษจากสำนักข่าวรอยเตอร์ส ที่ระบุแหล่งข่าวที่เป็นเจ้าหน้าที่ต่างประเทศ ว่าที่ผ่านมาสหรัฐฯ, แคนาดา, และออสเตรเลีย ก็เคยแจ้งทางไทยเช่นกันว่าพร้อมรับตัวผู้ลี้ภัยชาวอุยกูร์


รัศม์ ชาลีจันทร์ จึงได้ให้ความคิดเห็นอีกครั้ง ในวันที่ 5 มี.ค. ระบุว่า


“ขอเรียนดังนี้


ผมก็ได้เคยบอกไปแล้วว่าเคยมีบางประเทศมาขอรับไป (ซึ่งผมหลีกเลี่ยงเอ่ยนาม โดยอาจไม่ได้อธิบายมากพอเพราะไม่อยากให้กระทบประเทศอื่น) แต่ผมได้ใช้คำว่า “ไม่มีประเทศไหนแน่วแน่ที่จะรับไปจริงจัง” เพราะการมาบอกแค่ว่าพร้อมรับนั้น ในความจริงมันไม่ได้ง่าย หรือแทบทำไม่ได้จริงสำหรับประเทศไทย


มันไม่ใช่ว่าเขาพร้อมรับแล้วเราส่งไปมันจะจบแค่นั้น แต่เราอาจต้องเผชิญการตอบโต้จากจีน ที่อาจกระทบชีวิตคนไทยอีกมากมายนับไม่ถ้วน ถามว่าถ้าส่งให้ประเทศที่สาม ลองถามคนไทยทั้งประเทศก่อนหรือยังว่าเขาจะพร้อมรับผลกระทบที่ตามมาไหม? และมันยุติธรรมกับคนไทยไหมที่ต้องมารับผลกระทบกับปัญหาที่เราไม่ได้ก่อ? จะเอาอย่างนั้นจริงหรือเปล่า?


เดิมผมเองก็เคยเชื่อว่าเราอาจพอมีทางส่งไปประเทศที่สามได้ ซึ่งจริงๆ อาจพอทำได้เมื่อ 11 ปีที่แล้ว โดยเฉพาะในช่วงแรกๆ ที่ยังไม่มีแรงกดดันต่อไทย และอาจช่วยได้มากหากไม่มีการนำเสนอข่าวเรื่องนี้อย่างครึกโครมทั่วไปหมด ที่อาจช่วยให้เราสามารถดำเนินการอย่างแนบเนียนเงียบๆได้ แต่ก็เป็นอย่างที่ทราบ


ผมเองยังเคยหวังว่าเราจะส่งไปประเทศที่สามได้ แต่ก็ยอมรับความเป็นจริงว่าผลกระทบต่อประเทศไทยในการส่งไปประเทศที่สามนั้นมันมหาศาล ที่ยากจะดำเนินการได้จริง (ส่วนตัวเชื่อว่าไม่มีรัฐบาลใด ไม่ว่าจะมาจากพรรคไหน จะกล้าส่งจริง) และคนเหล่านี้ก็จะถูกขังอยู่อย่างนั้น ไปเรื่อยๆจนตายคาคุก


อย่างที่บอกข้างต้นว่าการส่งไปประเทศที่สามมันไม่ได้จบแค่นั้น เพราะมันมีผลกระทบตามมามหาศาล การที่ผมบอกว่าไม่มีประเทศไหนที่แน่วแน่ช่วยรับจริงจัง จึงหมายถึงว่าไม่มีประเทศไหนที่มาบอกว่าจะรับแล้วพร้อมไปช่วยเจรจาล้อบบี้ให้จีนยินดียอมรับให้ไทยส่งตัวไปประเทศที่สามนั้นๆ ได้ หรือมาบอกว่าพร้อมรับและหากไทยถูกจีนตอบโต้ยินดีจะยื่นมือมาช่วยเหลือเรา ผมเชื่อว่าไม่มีหรอกครับ 


ในความเห็นของผม แค่บอกพร้อมจะรับเฉยๆมันไม่พอ หรือในแง่หนึ่งแค่บอกก็เหมือนไม่ได้บอกนั่นเอง เพราะมันทำไม่ได้จริง การที่ทางการจีนมีคำมั่นที่จะให้คนเหล่านี้กลับคืนสู่สังคมปกติจึงเป็นทางเลือกที่ดีสุดสำหรับคนเหล่านี้ รวมทั้งประเทศไทยและชาวไทยให้ไม่ต้องพลอยรับผลกระทบเรื่องนี้ หรือให้ได้รับน้อยที่สุด 


จีนเขาเป็นมหาอำนาจที่เขาก็ต้องรักษาคำพูดของเขา ถ้าเราไม่เชื่อคำพูดของเขา เราจะมีปฏิสัมพันธ์ต่อเขาต่อไปในทุกด้านได้อย่างไร


ผมขอยืนยันว่าความคิดการส่งตัวไปประเทศที่สามคือความคิดที่ไม่อยู่บนพื้นฐานความจริง และปัดความรับผิดชอบ รวมทั้งไร้มนุษยธรรมอย่างยิ่ง ที่จะขังพวกเขาไว้ต่อไปจนตาย 


เรื่องนี้ผมเห็นว่ารัฐบาลไม่มีทางเลือกอื่น และการที่เราขอให้จีนมีหนังสือยืนยันความปลอดภัย เป็นทางออกที่ดีที่สุดของทุกฝ่ายแล้ว ประเด็นสำคัญของเรื่องนี้จึงไม่ใช่อยู่ที่มีประเทศที่สามจะรับจริงหรือไม่ หากแต่อยู่ที่ประเทศไทยมีทางเลือกอะไรที่จะรักษาผลประโยชน์ของประเทศชาติเราได้ดีที่สุด 


เรื่องนี้มันซับซ้อนและหลักการสวยหรูอะไร ไม่สามารถช่วยคนไทยได้ เราต้องตอบคำถามให้ได้ว่าจะทำเพื่อคนไทย รวมทั้งคนอุยกูร์เหล่านั้น หรือทำตามประเทศตะวันตกที่สาม ที่ถึงเวลาเขาจะมาช่วยเราจริงจังแค่ไหน


ประเด็นสำคัญของเรื่องนี้จึงไม่ใช่อยู่ที่ว่ามีประเทศที่สามจะรับจริงหรือไม่แค่นั้น หากแต่อยู่ที่ประเทศไทยมีทางเลือกอะไรที่จะรักษาผลประโยชน์ของประเทศชาติเราได้ดีที่สุด ดังนั้น สิ่งที่สำคัญที่สุดก็คือการต้องชั่งน้ำหนักว่าจะเลือกทางใดที่จะกระทบคนไทยน้อยที่สุด หรือว่าอยากจะเลือกหนทางที่จะกระทบชีวิตประชาชนคนไทยให้มากที่สุด?”


TAGS:

ข่าวที่เกี่ยวข้อง