เปิดไทม์ไลน์คดียุบพรรคก้าวไกล
เปิดไทม์ไลน์คดียุบพรรคก้าวไกล
จากนโยบายที่ใช้หาเสียงเลือกตั้ง สู่มูลเหตุนำไปสู่คดีร้องยุบพรรคและตัดสิทธิ์กรรมการบริหาร ย้อนดูเหตุการทั้งหมดที่เกิดขึ้นก่อนศาลรัฐธรรมนูญอ่านคำวินิจฉัยพรรคก้าวไกล 7 ส.ค.นี้
วันที่ 7 ส.ค. 2567 เป็นวันที่ศาลรัฐธรรมนูญนัดฟังคำวินิจฉัยคดีที่คณะกรรมการการเลือกตั้ง(กกต.) ยื่นคำร้องขอยุบพรรคก้าวไกลและตัดสิทธิทางการเมืองของกรรมการบริหารพรรค จากกรณีการชูนโยบายแก้ไขกฎหมายอาญามาตรา 112 เป็น 1 ในนโยบายของพรรคในระหว่างการหาเสียงเลือกตั้งทั่วไป พ.ศ.2566
สายตาจำนวนมากทั้งในประเทศและนอกประเทศ ต่างก็จับจ้องรอชมการตัดสินใจในวันนี้ของศาลรัฐธรรมนูญ ว่าจะเป็นอีกครั้งหนึ่งหรือไม่ ที่พรรคที่ได้รับเสียงสนับสนุนจากประชาชนมาเป็นอันดับที่ 1 ของประเทศ จะต้องพบกับจุดจบด้วยการถูกสั่งยุบพรรค เช่นเดียวกันกับพรรคไทยรักไทย และพรรคพลังประชาชนในอดีต
คดีนี้เริ่มมาจากเมื่อวันที่ 30 พ.ค. 2566 นายธีรยุทธ สุวรรณเกษร ทนายความ ได้หอบเอกสารหลักฐานพร้อมคำร้อง เข้าร้องต่ออัยการสูงสุด(อสส.) ให้ส่งเรื่องถึงศาลรัฐธรรมนูญ เพื่อสั่งให้พรรคก้าวไกลและนายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคในขณะนั้น เลิกกระทำการใด เพื่อยกเลิกหรือแก้ไขประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112
ให้เลิกการแสดงความคิดเห็น การพูด การเขียน การพิมพ์ การโฆษณาและสื่อความหมายโดยวิธีอื่นเพื่อให้มีการยกเลิกหรือแก้ไขประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 ที่กระทำอยู่ และเลิกการกระทำดังกล่าว ที่จะเกิดขึ้นต่อไปในอนาคตด้วย ตามรัฐธรรมนูญมาตรา 49 วรรค 2 ดังที่ศาลรัฐธรรมนูญได้มีแนวบรรทัดฐานไว้ในคำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญที่ 19/2564
ทั้งนี้อัยการสูงสุดไม่ได้ส่งเรื่องให้ศาลรัฐธรรมนูญภายใน 15 วัน ตามที่กฎหมายกำหนด ทำให้ในภายหลัง นายธีรยุทธได้ส่งคำร้องตรงถึงศาลรัฐธรรมนูญเอง และศาลรัฐธรรมนูญมีมติรับคำร้องในวันที่ 12 ก.ค. 2566
ในวันที่ 31 ม.ค. 2567 ศาลรัฐธรรมนูญมีมติเอกฉันท์ว่า การกระทำของนายพิธา ซึ่งเป็นผู้ถูกร้องที่ 1 และพรรคก้าวไกล ผู้ถูกร้องที่ 2 เป็นการใช้สิทธิหรือเสรีภาพเพื่อล้มล้างการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 49 วรรคหนึ่ง
รวมทั้งการให้ผู้ถูกร้องทั้งสองเลิกการแสดงความคิดเห็น การพูด การเขียน การพิมพ์ การโฆษณา และการสื่อความหมายโดยวิธีอื่นเพื่อให้มีการยกเลิกประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 อีกทั้งไม่ให้มีการแก้ไขประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 ด้วยวิธีการซึ่งไม่ใช่กระบวนการทางนิติบัญญัติโดยชอบ ที่จะเกิดขึ้นต่อไปในอนาคตด้วย ตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 49 วรรคสอง และพ.ร.ป.วิธีพิจารณาของศาลรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2561 มาตรา 74
หลังจากนั้นในวันที่ 1 ก.พ. 2567 นายธียุทธ ผู้ยื่นคำร้องในคดีแรกและนายเรืองไกร ลีกิจวัฒนะ ได้เดินทางไปที่สำนักงาน กกต. โดยมิได้นัดหมายกัน และได้ยื่นคำร้องต่อ กกต. ให้ร้องศาลรัฐธรรมนูญพิจารณายุบพรรคก้าวไกล และตัดสิทธิทางการเมืองของกรรมการบริหารพรรค อ้างอิงคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญที่ว่าพฤติการณ์ของนายพิธา และพรรคนั้นเป็นการล้มล้างการปกครอง
กกต. ใช้เวลาในการพิจารณาราว 1 เดือนครึ่ง ก็มีมติเป็นเอกฉันท์ให้ส่งเรื่องต่อให้ศาลรัฐธรรมนูญ โดย นายแสวง บุญมี เลขาธิการ กกต.ในฐานะนายทะเบียนพรรคการเมือง ได้รับมอบหมายจาก กกต. ให้เป็นผู้ยื่นคำร้องต่อศาลรัฐธรรมนูญขอให้พิจารณาสั่งยุบพรรคก้าวไกล และตัดสิทธิกรรมการบริหารพรรคตาม พ.ร.ป.ว่าด้วยพรรคการเมืองมาตรา 92 วรรคหนึ่ง (1) และ (2)
ก่อนที่ศาลรัฐธรรมนูญจะออกมาเปิดเผยความคืบหน้าของคดี ในวันที่ 3 เม.ย. 2567 ว่าศาลฯ รับคำร้องดังกล่าวไว้พิจารณา พร้อมทั้งเรียกตัวผู้ร้อง ผู้ถูกร้อง และพยานที่เป็นผู้เชี่ยวชาญทั้งด้านกฎหมายและสิทธิมนุษยชนเข้าให้ความเห็นในดีดังกล่าว จนกระทั่ง 17 ก.ค. 2567 ศาลฯ ได้ประกาศยุติการไต่สวนทั้งหมด พร้อมนัดฟังคำวินิจฉัยในวันที่ 7 ส.ค. 2567
วันที่ 2 ส.ค. 2567 ก่อนถึงวันวินิจฉัยคดี 5 วัน พรรคก้าวไกลได้เปิดการแถลงสาธารณะ 9 ข้อต่อสู้คดียุบพรรคก้าวไกล โดยพรรคฯ ระบุว่า
- ศาลรัฐธรรมนูญไม่มีเขตอำนาจพิจารณาวินิจฉัยคดีนี้
- กระบวนการยื่นคำร้องของ กกต.ไม่ชอบด้วยกฎหมาย
- คำวินิจฉัยเมื่อ 31 มกราคม 2567 ไม่ผูกพันการวินิจฉัยคดีนี้
- การกระทำที่ถูกกล่าวหา ไม่ล้มล้าง ไม่อาจเป็นปฏิปักษ์
- การกระทำตามคำวินิจฉัยเมื่อ 31 มกราคม 2567 ไม่ได้เป็นมติพรรค
- โทษยุคพรรคต้องเป็นมาตรการสุดท้าย เมื่อจำเป็น ฉุกเฉิน ฉับพลัน และไม่มีวิธีแก้ไขอื่น
- ศาลรัฐธรรมนูญไม่มีอำนาจตัดสิทธิ์กรรมการบริหารพรรค
- จำนวนปีในการตัดสิทธิ์ทางการเมืองต้องได้สัดส่วนกับความผิด
- การพิจารณาโทษต้องสอดคล้องกับชุดกรรมการบริหารในช่วงที่ถูกกล่าวหา
สำหรับในวันที่ 7 ส.ค. 2567 ซึ่งเป็นวันที่มีการนัดอ่านคำวินิจฉัยนั้น ทางพรรคก้าวไกลได้มีการจัดกิจกรรมที่ที่ทำการพรรค โดยจะมีกิจกรรมเลคเชอร์สาธารณะ โดย ปิยบุตร แสงกนกกุล อดีตเลขาธิการพรรคอนาคตใหม่ และเลขาธิการคณะก้าวหน้า เป็นเวลา 2 ชั่วโมง ก่อนถึงเวลา 15.00 น. ที่ศาลรัฐธรรมนูญนัดหมายฟังคำวินิจฉัย