'ก้าวไกล' กาง 9 ข้อต่อสู้พรรค ยันคำร้อง กกต.ไม่ชอบด้วยกฎหมาย

'ก้าวไกล' กาง 9 ข้อต่อสู้พรรค ยันคำร้อง กกต.ไม่ชอบด้วยกฎหมาย

55002 ส.ค. 67 19:00   |     AdminNews

'ชัยธวัช' กาง 9 ข้อต่อสู้ อ่านแถลงปิดคดียุบพรรคก้าวไกล ยันคำร้อง กกต.ไม่ชอบด้วยกฎหมาย ศาลรัฐธรรมนูญไม่มีอำนาจวินิจฉัยสั่งยุบพรรค

2 ส.ค.67 นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ ประธานที่ปรึกษาหัวหน้าพรรคก้าวไกล และนายชัยธวัช ตุลาธน หัวหน้าพรรคก้าวไกล แถลงข่าวชี้แจงเนื้อหาและสรุปข้อต่อสู้ในเอกสารคำแถลงปิดคดีที่พรรคก้าวไกลส่งให้ศาลรัฐธรรมนูญ ก่อนที่ศาลรัฐธรรมนูญจะอ่านคำวินิจฉัยคดียุบพรรคก้าวไกลในวันที่ 7 ส.ค.นี้ 

นายชัยธวัช กล่าวถึงข้อต่อสู้ของพรรคก้าวไกล 9 ข้อ ประกอบด้วย 

1.ศาลรัฐธรรมนูญไม่มีอำนาจในการรับคำร้องคดีนี้ไว้วินิจฉัย ตามรัฐธรรมนูญฉบับปี 2560 ไม่มีมาตราใดที่ให้อำนาจศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยยุบพรรคการเมืองไว้อย่างชัดแจ้ง และกฎหมายไม่ได้เปิดช่องให้ไปเพิ่มขอบเขตอำนาจของศาลรัฐธรรมนูญ นอกเหนือจากที่รัฐธรรมนูญกำหนดไว้ จึงขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญ ซึ่งย่อมไม่สามารถที่จะนำคำวินิจฉัยในคดีที่ 3/2567 มาเป็นบรรทัดฐาน หรือเหตุผลที่ศาลรัฐธรรมนูญจะรับคำร้องในคดีนี้ได้


2.การยื่นคำร้องคดีนี้ของคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) มิชอบด้วยกฎหมาย เนื่องจากการไม่รับฟังคู่ความคดีทุกฝ่าย เพราะ กกต.ส่งคำร้องต่อศาลรัฐธรรมนูญเพื่อขอให้ยุบพรรคก้าวไกล ทั้งที่อยู่ระหว่างการรวบรวมพยานหลักฐานตามกฎหมาย แสดงให้เห็นว่า กกต.มุ่งหมายที่จะยื่นคำร้องยุบพรรคก้าวไกล โดยไม่สนใจขั้นตอนตามกฎหมายกำหนด ไม่รอให้นายทะเบียนพรรคการเมืองมีความเห็นในคำร้อง ทั้งนี้การยื่นคำร้องในคดีดังกล่าว เป็นข้อหาที่แตกต่างจากคดีที่ 3/2567 แต่กลับไม่แสวงหาพยานหลักฐาน และไม่เปิดโอกาสให้พรรคก้าวไกลโต้แย้งข้อกล่าวหา 


3.คำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญที่ 3/2567 ไม่มีผลผูกพันในการพิจารณาวินิจฉัยในคดีนี้ ข้ออ้างที่ กกต. กล่าวหาว่าล้มล้างการปกครอง หรือมีการกระทำที่อาจเป็นปฏิปักษ์ต่อระบอบการปกครองนั้น ถือเป็นข้อกล่าวหาใหม่ที่ศาลไม่เคยวินิจฉัยมาก่อน การนำผลคำวินิจฉัยในคดีก่อนมาปิดปากวินิจฉัยคดีนี้ จะต้องมีมาตรฐานที่เข้มข้นกว่าหรือระดับเดียวกัน ซึ่งต้องเป็นไปตามมาตรฐานพิสูจน์จนสิ้นสงสัย 


พรรคก้าวไกลขอยืนยันว่า กกต.ไม่อาจกล่าวอ้างได้ว่าข้อเท็จจริงตามคดี 3/2567 เป็นข้อเท็จจริงที่ฟังได้โดยปราศจากข้อสงสัย ไม่มีเหตุที่จะรับฟังได้เป็นอย่างอื่น และมีผลผูกพันให้ตนเองต้องเสนอต่อศาล โดยที่ไม่จำเป็นต้องแสวงหาข้อเท็จจริง และพยานหลักฐาน รวมทั้งไม่จำเป็นต้องรับฟังผู้ถูกร้องอีกด้วย


4.นอกจากการเสนอนโยบายแก้ไขประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 แล้วการกระทำอื่น ๆ ตามคำร้อง มิได้เป็นการกระทำของพรรคก้าวไกล เนื่องจากไม่ได้เป็นมติของคณะกรรมการบริหารพรรค ทั้งกรณีที่ สส.เป็นนายประกันของผู้ถูกกล่าวหาในคดี 112 หรือการแสดงออกส่วนตัว พรรคก้าวไกลไม่ได้เป็นผู้สั่งการหรือบงการ ทั้งหมดไม่ได้เป็นการล้มล้างการปกครองที่เป็นการเสนอโดยชอบด้วยรัฐธรรมนูญ ผ่านกระบวนการนิติบัญญัติ 


5.การกระทำตามที่ กกต.กล่าวหาว่าผู้ถูกร้องได้กระทำการล้มล้างการปกครอง หรือเป็นการกระทำอันอาจเป็นปฏิปักษ์ต่อการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข 

 เมื่อพิจารณาตามสภาวะวิสัยและความเชื่อของวิญญูชนทั่วไป การกระทำที่ปรากฏเป็นข้อเท็จจริงในคำวินิจฉัยมิได้เป็นการล้มล้างการปกครอง หรืออาจเป็นปฏิปักษ์ต่อการปกครองแต่อย่างใด 


ยกตัวอย่างกรณีที่ สส.เข้าชื่อเสนอร่างกฎหมายแก้ไข ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 ไม่ใช่การล้มล้างอการปกครองให้สิ้นสุดลง หรือไม่ได้ใช้อำนาจแก้ไขระบอบการปกครองให้เป็นระบอบการปกครองอื่น แต่เป็นการเข้าชื่อเสนอร่างกฎหมายให้รัฐสภาพิจารณาผ่านกระบวนการนิติบัญญัติโดยชอบ ทั้งนี้การเสนอให้แก้ไขประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 และการนำนโยบายดังกล่าวมาใช้ในการหาเสียง เป็นเพียงการนำเสนอนโยบายเพื่อแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้นในบ้านเมือง ประคับประคองการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขให้คงอยู่ต่อไปเท่านั้น 


6.ศาลรัฐธรรมนูญไม่ควรยุบพรรคก้าวไกล

 แม้ระบอบประชาธิปไตยบางประเทศจะสามารถยุบพรรคการเมืองได้ แต่ต้องพึงพิจารณาอย่างเคร่งครัดระมัดระวัง และต้องเป็นมาตรการสุดท้ายที่จะใช้ ภายใต้หลักความพอสมควรแห่งเหตุ ไม่เช่นนั้นจะเป็นเครื่องมือการทำลายคุณค่าของระบอบประชาธิปไตย

สำหรับการกระทำของพรรคก้าวไกลไม่ใช่การกระทำที่รุนแรงถึงยุบพรรค และไม่มีความจำเป็นที่ศาลจะต้องสั่งยุบพรรคก้าวไกล


7. แม้ศาลรัฐธรรมนูญจะมีคำสั่งยุบพรรค ก็ไม่มีอำนาจกำหนดระยะเวลาการเพิกถอนสิทธิสมัครรับเลือกตั้งของกรรมการบริหารพรรค ซึ่งหากจะมีการจำกัดสิทธิต้องเป็นกระทำตามกฎหมายที่ออกโดยฝ่ายนิติบัญญัติเท่านั้น


8.ระยะเวลาเพิกถอนสิทธิ์สมัครรับเลือกตั้งของคนผู้เป็นกรรมการบริหารพรรค เมื่อพิจารณาตามบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญประกอบกับหลักที่ศาลรัฐธรรมนูญเคยวางเอาไว้ ไม่สามารถจำกัดสิทธิหรือตัดสิทธิได้ เพราะต้องกระทำตามที่กฎหมายบัญญัติไว้เท่านั้น หากศาลเห็นว่ามีอำนาจกำหนดระยะเวลาเพิกถอนสิทธิการเลือกตั้ง แต่การกำหนดระยะเวลาดังกล่าว ต้องอยู่บนหลักความพอสมควรแก่เหตุ ซึ่งไม่ควรเกิน 5 ปี ไม่ใช่ 10 ปีตามที่ กกต. ร้องขอ 


9.การเพิกถอนสิทธิสมัครรับเลือกตั้ง ต้องเพิกถอนเฉพาะกรรมการบริหารที่เกี่ยวข้องกับการกระทำผิดเท่านั้น โดยไม่รวมกรรมการบริหารพรรคที่ดำรงตำแหน่งในวันที่ศาลรัฐธรรมนูญพิจารณาคดีนี้


นายชัยธวัช กล่าวต่อว่าพรรคก้าวไกลมิได้รู้หรือควรรู้ได้ว่า การกระทำในคดีนี้เป็นการกระทำต้องห้ามตามมาตรา 92 ของ พ.ร.ป.ว่าด้วยพรรคการเมือง เนื่องจากก่อนหน้านี้ กกต.เคยวินิจฉัยยกคำร้องข้อกล่าวหาในลักษณะเดียวกัน แสดงให้เห็นว่า กกต.ในฐานะเจ้าหน้าที่รัฐก็ยังเคยให้ความเห็นว่าการกระทำนี้ชอบด้วยกฎหมาย ย่อมอยู่ในวิสัยที่สามารถเชื่อได้ว่า การกระทำใด ๆ ที่เกิดขึ้นตามคำร้องในคดีนี้ก็ย่อมชอบด้วยกฎหมายเช่นเดียวกัน และการเพิกถอนนั้น ต้องเพิกถอนเฉพาะกรรมการบริหารพรรคที่เกี่ยวข้องกับการกระทำผิด


ข่าวที่เกี่ยวข้อง :

'พิธา' ไม่ขอก้าวล่วงคำตัดสินศาล ลุ้นฟังผล 7 ส.ค.นี้

คุมเข้มความปลอดภัยวันวินิจฉัย 'คดียุบก้าวไกล' - หมิ่นศาลเจอมาตรา 198

TAGS:

ข่าวที่เกี่ยวข้อง