อัจฉริยะ แถลงกรณีทนายตั้ม เคยโดนคดี พรากผู้เยาว์
อัจฉริยะ แถลงกรณีทนายตั้ม เคยโดนคดี พรากผู้เยาว์
อัจฉริยะ รับทนายตั้มเคยโดนข้อหาพรากผู้เยาว์จริง แต่อัยการไม่สั่งฟ้อง แล้วก่อนจะได้รับตั๋วทนายความ ยังไม่ได้เข้าข้างใคร
จากกรณี เพจ "อีซ้อขยี้แหลก" ได้ออกมาโพสต์เฟซบุ๊ก โดยระบุข้อความว่า “ใครเอ่ยชื่อ ณัฐวุฒิ ทำไมนามสกุลคล้ายทนายดังเชียว ไม่เบานะเนี่ย หรือว่าเคยเปลี่ยนชื่อ เคยถูกจับกุม/พิมพ์มือข้อหาพรากผู้เยาว์ มีคนเขาฝากถามว่า ปี43 มีคดีพรากผู้เยาว์ ทำไมปี47 ยังได้รับตั๋วทนายความ คดีนี้จบยังไง มาชี้แจงหน่อยนะจ๊ะ...” นั้น
(30 ต.ค.67) ที่กองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง นายอัจฉริยะ เรืองรัตนพงศ์ ประธานชมรมช่วยเหลือเหยื่ออาชญากรรม เปิดเผยกับสื่อมวลชนถึงกรณีที่ทนายความชื่อดังที่กำลังตกเป็นประเด็นเรื่องเงินหลักสิบล้านกว่าบาทในเวลานี้ว่าเคยมีประเด็นเกี่ยวกับเรื่องคดีพรากผู้เยาว์มาก่อน
โดยนายอัจฉริยะ กล่าวว่า จากที่เคยมีเพจโซเชียลขุดประเด็นว่าทนายชื่อดังคนดังกล่าวนั้นเคยมีคดีพรากผู้เยาว์มาก่อน ตนได้รับอนุญาตจากทนายคนดังกล่าวให้มาชี้แจงเกี่ยวกับเรื่องดังกล่าวแล้วว่า คดีนี้เกิดขึ้นเมื่อปี 2543 ซึ่งตอนนั้นทนายคนดังกล่าวยังใช้ชื่อเก่าอยู่ โดยตกเป็นผู้ต้องหาในคดีที่เกี่ยวข้องกับลูกตำรวจที่เป็นเยาวชนร่วมกับบุคคลอื่นรวม 4 คน โดย 3 คนถูกออกหมายจับ ส่วนตัวทนายคนดังกล่าวมามอบตัวเอง แต่อย่างไรก็ตาม คดีนี้อัยการสั่งไม่ฟ้อง คดีจึงถึงที่สุดและมีการออกกฎหมายลบล้างมลทินจนลบประวัติอาจจะทำออกไป ทำให้ทนายคนดังกล่าวผูกไว้ประวัติและสามารถรับใบอนุญาตทนายความได้เมื่อปี 2547
ส่วนคดีความก่อนหน้านี้ที่ทนายคนนั้นถูกกล่าวหาเรื่องเรียกรับผลประโยชน์ในการช่วยเหลือทางคดีเกี่ยวกับยาเสพติด 2 คดีก่อนหน้านี้นั้น ซึ่งเป็นคดีที่ตนเคยร้องเรียนเพื่อเอาผิดกับทนายคนนั้น นายอัจฉริยะระบุว่า มีอยู่หนึ่งคดีที่จบไปแล้วเพราะอัยการทุจริตภาค 7 สั่งไม่ฟ้อง แต่ยังคงเหลือคดีที่ตนเคยร้องเรียนเมื่อปี 2561 ที่ทนายคนดังกล่าวร่วมมือกับตำรวจ สภ. แห่งหนึ่งในจังหวัดสมุทรสาครเรียกรับผลประโยชน์ในคดียาเสพติด ซึ่งคดีนี้ยังค้างอยู่ที่อัยการทุจริตภาค 7 มานานถึง 4 ปี ซึ่งตนก็ไม่เข้าใจว่า ทำไมคดีถึงค้างนานและก็อยากให้อยากจะให้อัยการเร่งสรุปคดีโดยเร็วว่า จะสั่งฟ้องหรือไม่ฟ้อง เพราะไม่งั้นจะถือเป็นการกระทำที่ทุจริต
ซึ่งที่ตนออกมาพูดประเด็นดังกล่าว เป็นเพราะมีสื่อมวลชนมาสอบถามตน โดยตนได้พูดคุยกับทนายคนนี้แล้วว่า ถ้ามีสื่อมวลชนมาถามตนเกี่ยวกับทนายคนนี้ จะอนุญาตหรือไม่ ทนายคนนี้ก็อนุญาตให้ตนพูดได้ เนื่องจากตนก็รู้เกี่ยวกับทนายคนนี้เป็นอย่างดีในหลายเรื่อง โดยเฉพาะประเด็นเกี่ยวข้องกับคดีที่ทนายคนดังกล่าวถูกกล่าวหาว่าฉ้อโกงเงินลูกความ 71 ล้านบาทหรือ 2 ล้านยูโร รวมทั้งประเด็นเรื่องรถและเงิน 39 ล้านบาท ตนก็ทราบเรื่องนี้เป็นอย่างดี แต่ตนมองว่า เป็นเรื่องของคดีความ ตนเขาไม่พูดถึงประเด็นดังกล่าวเพื่อเป็นการซ้ำเติมเหมือนบุคคลอื่น เพราะถือเป็นการกระทำที่ไม่มีคุณธรรม
ตนไม่ได้ทักหรือไม่ได้เกลียดกับทนายคนดังกล่าว การที่จับมือกันในวันนั้นก็เป็นเพียงแค่การยุติคดีที่ผ่านมา เพื่อไม่ให้มีเรื่องฟ้องร้องกันอีก แต่ตนถือโอกาสมากวันนี้เป็นวันที่ตนรอคอย เพราะในช่วง 6 ปีที่ผ่านมา ตนถูกโจมตีและกล่าวหามาโดยตลอด ในวันนี้เมื่อถึงคราวของทนายคนนี้บ้าง ตนก็มองว่าใครทำกรรมอะไรไว้ก็ต้องรับสภาพกรรมนั้นและความจริงก็คือความจริง เน้นย้ำว่าที่ตนออกมาพูดไม่ใช่เป็นการแฉทนายคนนี้ แต่เป็นการพูดตามที่สื่อมวลชนต้องการอยากรู้และทนายซึ่งเป็นผู้รู้กฎหมายก็ต้องแก้ปัญหาด้วยตัวเอง รวมทั้งต้องยอมรับความเป็นจริง ผิดก็ว่าไปตามผิด ถูกก็ว่าไปตามถูก
นายอัจฉริยะยังเปิดเผยเพิ่มเติมอีกว่า สิ่งที่ทนายคนดังกล่าวพูดในรายการโทรทัศน์เกี่ยวกับเรื่องเงิน 71 ล้านบาทนั้นเป็นการเตี๊ยมกับพิธีกร ซึ่งตอนที่ตนได้ยินตนก็ได้แค่ยิ้มในใจ โดยหลังจากนี้ตนเชื่อว่า ทนายคนนี้น่าจะโดนออกหมายจับในระยะเวลาอันใกล้ ในคดีเกี่ยวกับฉ้อโกง ซึ่งตนได้พูด ให้กำลังใจทนายคนนั้นเพียงแค่ว่า อาจจะได้เข้าไปอยู่กับบอสพอลในเรือนจำ ส่วนที่เหลือทนายคนนั้นจะจัดการยังไงต่อโดยเฉพาะเรื่องทางกฎหมาย ตนก็เชื่อว่าเขาน่าจะรู้ตัวเอง แต่ส่วนตัวตนก็ขอตั้งประเด็นทิ้งท้ายเอาไว้ว่า ที่ผ่านมาทนายคนนั้นต่อสู้รบกับนักการเมืองหลาย ๆ คน รวมทั้งอดีตนายตำรวจระดับสูงไปเพื่ออะไร เพราะตนก็ทราบดีว่า ทนายคนนั้นรับงานใครมาเพื่อโจมตีบรรดานักการเมืองและอดีตนายตำรวจ จึงอยากจะฝากเตือนว่า หากคิดจะเล่นงานใครต้องขาวบริสุทธิ์จริง ๆ เพราะมิเช่นนั้น ดาบนั้นจะคืนสนอง