อ้างเด็กกำพร้าถูกทำร้ายในสถานสงเคราะห์เอกชนชื่อดัง ทั้งหยิกตี ให้กินพริกจนลิ้นบวม
อ้างเด็กกำพร้าถูกทำร้ายในสถานสงเคราะห์เอกชนชื่อดัง ทั้งหยิกตี ให้กินพริกจนลิ้นบวม
อ้างเด็กกำพร้าถูกทำร้ายในสถานสงเคราะห์เอกชนชื่อดัง ทั้งหยิกตี ให้กินพริกจนลิ้นบวม อดีตพี่เลี้ยงสะเทือนใจเห็นเด็กถูกทารุณหลายครั้ง ห่วงเพิ่มบาดแผลในใจเด็ก
(8 พ.ย.67) ปัญหาเด็กกำพร้าถูกทอดทิ้งในประเทศไทยยังเป็นประเด็นสำคัญที่สังคมต้องให้ความสนใจ เนื่องจากส่งผลกระทบต่อชีวิตและอนาคตของเด็กเหล่านี้เป็นอย่างมาก นอกจากนี้ยังเสี่ยงเกิดปัญหาสังคมหากเด็กเหล่านี้เติบโตมาในสภาพแวดล้อมที่ไม่เหมาะสม สถานสงเคราะห์เด็กและบ้านพักเด็กจึงมีบทบาทสำคัญในการดูแลเด็กที่ขาดการดูแลจากครอบครัว ทำหน้าที่เป็นเหมือนบ้านหลังที่สองให้กับเด็ก ๆ โดยมอบความรัก ความอบอุ่น การดูแลและการศึกษาเพื่อให้เด็กเติบโตเป็นผู้ใหญ่ที่มีคุณภาพ
อย่างไรก็ตามในช่วงที่ผ่านมากลับพบปัญหาการใช้ความรุนแรงต่อเด็กในสถานสงเคราะห์หลายต่อหลายครั้ง เป็นเรื่องที่น่าวิตกและส่งผลกระทบต่อสภาพจิตใจของเด็กอย่างรุนแรง
ล่าสุดทีมข่าวได้รับข้อมูลจากอดีตพี่เลี้ยงและอาสาสมัครในสถานสงเคราะห์เด็กของมูลนิธิเอกชนแห่งหนึ่งในจังหวัดเชียงใหม่ ที่ตัดสินใจออกมาเปิดเผยว่ามีเด็ก ๆ ในสถานสงเคราะห์แห่งนี้หลายคนต้องทุกข์ทรมานจากการถูกทำร้ายทั้งร่างกายและจิตใจโดยครูและพี่เลี้ยงมาหลายต่อหลายครั้ง ทำให้เด็กอยู่ในสภาพย่ำแย่และต้องเติบโตมากับความหวาดกลัว แม้จะมีการแจ้งปัญหาให้กับคณะกรรมการมูลนิธิได้ทราบแต่ดูเหมือนว่าสิ่งเหล่านี้ยังคงเกิดขึ้น
แหล่งข่าวที่เป็นอดีตพี่เลี้ยงให้ข้อมูลว่า หลายปีก่อนหน้านี้เธอทำหน้าที่เป็นพี่เลี้ยงเด็ก ก่อนจะลาออกไปเรียนต่อ จากนั้นได้กลับเข้ามาสมัครทำงานที่เดิมอีกครั้งในฝ่ายพยาบาล โดยมีกำหนดทดลองงานเป็นเวลา 6 เดือน แต่การกลับมาครั้งที่สองทำให้เธอได้พบเรื่องที่ไม่สบายใจ เมื่อเห็นเด็ก ๆ ถูกเลี้ยงดูไม่เหมาะสมเข้าข่ายทารุณกรรมด้วยวิธีต่าง ๆ เช่น การตวาด หยิก ตีจนเกิดร่องรอยบาดแผล เหวี่ยงเด็กจนติดตู้ ให้เด็กกินพริกจนลิ้นบวม ให้นั่งตากแดด 2-3 ชั่วโมง ถือชามข้าวนั่งกระโถน เอากระโถนแขวนคอ ให้ถือชามข้าวนั่งคุกเข่าเป็นชั่วโมง โดยคนที่ทำร้ายเด็กมีทั้งนักพัฒนาการเด็กและพี่เลี้ยงเด็ก
ภาพที่เห็นทำให้รู้สึกไม่สบายใจเป็นอย่างมาก เธอจึงถ่ายภาพและคลิปเหตุการณ์บางส่วนไว้ แต่กลับถูกห้ามปราบ บอกว่าห้ามเข้ามายุ่ง อ้างว่าเป็นการสั่งสอนเด็กที่ทำความผิดและไม่เชื่อฟัง เธอมองว่าเป็นสิ่งที่ไม่ถูกต้องและเชื่อว่าเข้าข่ายทารุณเด็ก จึงไปแจ้งต่อนักสังคมสงเคราะห์ หวังให้ทราบเรื่องและแก้ไขปัญหา แต่หลังจากนั้นปรากฏว่าเธอกลับถูกโหวตไม่ผ่านการทดลองงาน ด้วยเหตุผลที่เธอถ่ายคลิปในสถานสงเคราะห์ที่เป็นการฝ่าฝืนกฎระเบียบและเป็นการละเมิดสิทธิเด็ก
อดีตพี่เลี้ยงเด็ก บอกว่า ที่ออกมาเปิดเผยเพราะไม่ต้องการให้เด็กถูกทำร้ายอีก เพราะเด็กถูกทอดทิ้งก็มีปมในใจอยู่แล้ว การทำร้ายทั้งร่างกายและจิตใจจะเป็นการเพิ่มบาดแผลในใจให้กับเด็กซึ่งจะมีผลกับเด็กในอนาคต อยากให้สถานสงเคราะห์ปรับเปลี่ยนวิธีการดูแลเด็ก คัดสรรบุคลากรที่มีความรู้ความเข้าใจ และ ให้ความสำคัญกับ พ.ร.บ.คุ้มครองเด็ก รวมทั้งเสนอแนะให้ทางมูลนิธิแต่งตั้งคณะกรรมการเข้ามาในรูปแบบสหวิชาชีพ
ขณะที่ อดีตอาสาสมัครคนหนึ่ง เล่าว่า ในปี 2566 มีเด็กไม่สบายและถูกนำส่งโรงพยาบาลของรัฐ แพทย์ตรวจพบร่องรอยบาดแผลฟกช้ำในตัวเด็ก ต่อมาช่วงกลางปีแพทย์ยังพบลิ้นเด็กติดเชื้อราซึ่งสันนิษฐานว่ามาจากการกินเผ็ดรุนแรง แพทย์เห็นว่าเป็นอาการเจ็บป่วยที่ไม่ปกติ จึงรายงานหน่วยงานรับผิดชอบตาม พรบ.คุ้มครองเด็ก ฯ
ต่อมาทางมูลนิธิจึงมีการสอบสวนข้อเท็จจริง พบว่ามีพี่เลี้ยง นักพัฒนาการเด็ก และ นักสังคมสงเคราะห์จำนวน 9 คน กระทำความรุนแรงต่อเด็ก จากนั้นมีการทำทัณฑ์บน 1 คน และ ลงโทษด้วยการให้ออก 8 คน แต่ภายหลังก็รับกลับมาทำงานอีก 4 คน โดย 1 ใน 4 นั้นมีอาการซึมเศร้ารับยาอยู่ที่โรงพยาบาลสวนปรุง ถือว่ามีคุณสมบัติไม่เหมาะสม เสี่ยงที่เด็กจะถูกกระทำซ้ำอีก
อาสาสมัครคนนี้ บอกว่า แม้จะมีการลงโทษไปแล้ว แต่กลับพบว่าในเดือนกรกฎาคม 2567 ยังพบการทำร้ายเด็กเกิดขึ้นอีก สาเหตุเป็นเพราะเจ้าหน้าที่ขาดความรู้ความเข้าใจในการดูแลเด็กเชิงบวกและไม่ให้ความสำคัญกับ พ.ร.บ.คุ้มครองเด็ก ขณะที่ผู้บริหารก็ไม่ได้ลงมากำกับดูแลอย่างใกล้ชิด
อ้างเด็กกำพร้าถูกทำร้ายในสถานสงเคราะห์เอกชนชื่อดัง ทั้งหยิกตี ให้กินพริกจนลิ้นบวม
ล่าสุดในวันที่ 1 ตุลาคม 2567 เจ้าหน้าที่หลายหน่วยงาน ทั้งสำนักงานพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์จังหวัดเชียงใหม่ ทีมเจ้าหน้าที่ส่วนกลางจากกรมกิจการเด็กและเยาวชน และตำรวจศูนย์พิทักษ์ เด็ก สตรี ครอบครัวและปราบปรามการค้ามนุษย์ ได้เข้าตรวจสอบที่สถานสงเคราะห์แห่งนี้ โดยมีการแยกเด็กกลับไปดูแลที่สถานสงเคราะห์เด็กบ้านเวียงพิงค์เพื่อคุ้มครองสวัสดิภาพเด็กรวม 17 คน รวมทั้งเข้าแจ้งความดำเนินคดีกับพี่เลี้ยงที่ปรากฏหลักฐานว่าทำร้ายหรือลงโทษเด็กด้วยความรุนแรง
อดีตอาสาสมัคร บอกว่า ต้องการให้เรื่องนี้อยู่ในความสนใจของสาธารณะ ไม่อยากให้สังคมละเลยปล่อยผ่าน เพื่อให้มั่นใจว่าจะมีกระบวนการจัดการเรื่องนี้อย่างจริงจัง โดยคำนึงถึงประโยชน์สูงสุดของเด็กเป็นหลักและสถานสงเคราะห์อื่น ๆ ก็ควรตระหนักถึงรูปแบบวิธีการเลี้ยงดูที่ดีด้วยเช่นกัน
สำหรับสถานสงเคราะห์เด็กเอกชนแห่งนี้ เป็นสถานสงเคราะห์เด็กกำพร้าเก่าแก่ของจังหวัดเชียงใหม่ รับดูแลเด็กกำพร้าอายุ 3 เดือน - 6 ปี จดทะเบียนเป็นสถานสงเคราะห์เอกชนภายใต้กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ โดยในระยะหลังรับเด็กจากสถานสงเคราะห์เด็กบ้านเวียงพิงค์ สังกัดกรมกิจการเด็กและเยาวชน กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์มาดูแล เมื่ออายุถึง 6 ขวบ จะส่งตัวกลับไปที่สถานสงเคราะห์เด็กบ้านเวียงพิงค์เพื่อศึกษาต่อในระบบการศึกษาภาคบังคับ