แม่“น้องผิง ชญาดา” ไม่ไปต่อ เผยเผาลูกสาวพรุ่งนี้
แม่“น้องผิง ชญาดา” ไม่ไปต่อ เผยเผาลูกสาวพรุ่งนี้
แม่“น้องผิง ชญาดา” ไม่ไปต่อ เผยเผาลูกสาวพรุ่งนี้ หากนำไปผ่าชันสูตรต้องมาเริ่มต้นกันใหม่ทุกอย่าง แม้ยังติดใจการเสียชีวิต
(10 ธ.ค.67) นางฉันธกาฬ อายุ 47 ปี ผู้เป็นแม่ เผยว่า วานนี้ได้พูดคุยกับญาติพี่น้อง รวมทั้งพ่อของน้องผิงที่อยู่ต่างประเทศ (เกาหลีใต้) มีผลสรุปออกมาว่า จะนำน้องผิงไปฌาปนกิจตามประเพณี เพราะหากจะเอาน้องไปต่อ คงจะสู้ไม่ไหว ซึ่งมันจะต้องใช้ปัจจัยหลายๆอย่าง เพราะถ้าจะเอาน้องไปผ่าชันสูตร จะต้องมาเริ่มต้นกันใหม่ทุกอย่าง ซึ่งก็เป็นไปตามประเพณีของชุมชน เมื่อนำศพน้องผิงกลับมาบ้านแล้ว ตั้งศพบำเพ็ญกุศลไปแล้ว และก็ใกล้ถึงวันกำหนดฌาปนกิจ หากจะนำศพออกไปเพื่อผ่าชันสูตร เมื่อนำศพกลับมาที่บ้านอีก ก็ต้องมาเริ่มต้นนับหนึ่งกันใหม่ ตกลงกันก็คือจะไม่เอาน้องไปต่อ
หลังจากประกอบพิธีฌาปนกิจแล้ว จะต่ออย่างไรตอนนี้ยังคิดไม่ออก อาจจะปล่อยไปอย่างนี้เพราะทำอะไรอีกไม่ได้แล้ว ยอมรับยังทำใจไม่ได้ หากถามว่าติดใจกับการเสียชีวิตของน้องผิงไหม ตอบได้เลยว่ายังติดใจอยู่ เมื่อเช้าก็ได้แชร์โพสต์หนึ่งที่มีเพื่อนๆส่งมาให้ เห็นโพสต์ของอาจารย์หมอที่อเมริกา เขาได้พูดถึงน้องผิง คิดว่าเขาพูดได้ถูกทุกอย่างถูกทุกขั้นตอนที่น้องเป็น ที่เรามาพูดไม่ต้องการสร้างกระแส แต่เราพูดเรื่องของความจริง ที่อาจารย์หมอพูดเป็นอาการของน้องก่อนเสียชีวิต อยู่ดีๆกระดูกคอเราจะเคลื่อนได้ มันต้องกระทบอย่างแรง จึงจะอักเสบได้ แต่น้องไม่ได้มีเหตุการณ์แบบนั้น ทำให้ยังคงติดใจในเรื่องนี้ โดยเชื่อว่าการติดเชื้อในกระแสเลือด ป่วยไขสันหลังอักเสบ หรือเรื่องเชื้อรา มันจะต้องมีสาเหตุที่มาที่ไป เหตุกระดูกคอเคลื่อนจึงนำไปสู่โรค เพราะน้องเป็นคนแข็งแรง
ในประเด็นการให้สัมภาษณ์ของ รมว.สาธารณสุข ที่ระบุไม่มีรอยแตกร้าวของกระดูกคอ หรือไม่มีรอยเคลื่อนของกระดูกคอ แม่ของน้องผิง ชี้แจงว่า น้องผิงไปโรงพยาบาลครั้งแรกที่ รพ.ศูนย์อุดรธานี เพราะตอนนั้นน้องบอกอาการ แล้วมันมีอาการคล้ายกระดูกคอเคลื่อน แม่เองมีประสบการณ์เรื่องนี้อยู่บ้าง เพราะเป็นหมอนวดแผนไทยมีประสบการณ์ 10 กว่าปีแล้ว แม่ถามลูกว่าที่ไปหาหมอนวด เขาได้หักคอหักกระดูกด้วยไหม น้องผิงก็บอกว่าใช่ เรารู้ว่ากระดูกคอของลูกเราต้องเคลื่อน เลยบอกให้ลูกไปที่ รพ.ศูนย์อุดรธานีก่อน โดยบอกว่าไปบอกอาการให้ชัด ว่าก่อนหน้าจะมีอาการไปนวดมา แล้วการนวดก็เป็นลักษณะบิดคอ ลูกเล่าให้ฟังว่าคุณหมอบอกอาจไทรอยด์เป็นพิษ เมื่อตรวจหาก็ไม่พบ หมอจึงสั่งยาแก้ปวด และคลายกล้ามเนื้อให้ โดยไม่ได้สั่งให้เอกซเรย์
โดยข้อมูลกระดูกสันหลังเคลื่อน เริ่มจากมีอาการปวดมากจึงไป รพ.พิบูล์รักษ์ หมอให้เอกซเรย์พบกระดูกมีปัญหา จึงส่งตัวน้องมาที่ รพ.หนองหาน ที่นั่นเขาก็เอกซเรย์ในวันนั้นเหมือนกัน ก่อนที่จะส่งตัวไป รพ.ศูนย์อุดรธานี ถ้ากระดูกไม่เคลื่อนจริงทำไมคุณหมอจึงบอกว่ากระดูกมันเคลื่อน เพราะเราไม่ได้เอกซเรย์เอง เราไม่มีความรู้เรื่องกระดูกเคลื่อน เราก็บอกได้ยังไงถ้าคุณหมอไม่บอก ตอนแรกเขาให้น้องมาฉีดยาแล้วก็กินยา แล้วก็บอกรอวันนัดแต่น้องรอไม่ไหวแม่เลยพาไปก่อน เราไปถึง รพ.หนองหาน เขาบอกว่ายาเอาไม่อยู่แล้ว ต้องส่งต่อไปที่ รพ.ศูนย์อุดรธานี กระดูกมันเคลื่อนที่ ซี 1 -5 เคลื่อนเกือบทุกข้อเลย แม่ไม่ใช่เป็นคนพูดหมอเป็นคนพูด และคุณหมอก็เป็นคนเขียนใบส่งตัว แม่ไม่มีความรู้เรื่องนี้
มีอาชีพเป็นหมอนวดแผนไทย ผ่านการอบรมนวดเพื่อสุขภาพ 150 ชม. มีประสบการณ์มากกว่า 10 ปี มีการศึกษาหาความรู้มาตลอด เพื่อนๆที่อบรมมาด้วยกันเขาไปต่อ ผ่านระดับการรักษา 372 ชม.ก็มี แต่ตนเองกลับมาที่บ้าน ทำงานที่คลินิกหมอ “อ.มนตรี คลินิก” ที่ อ.พิบูลย์รักษ์ แต่ระยะหลังต้องมาดูแลแม่ติดเตียง จึงไม่ได้ไปทำงานประจำที่คลินิก แต่ยังมีอาชีพหมอนวดแผนไทย ถูกเรียกตัวไปช่วยบ่อยๆ จากประสบการณ์และแสวงหาความรู้ ทำให้ตลอดชีวิตไม่เคยนวดลูกค้าด้วยการบิดคอ หรือดัดเอว หรือบางอย่าง เพราะรู้ว่ามันอันตราย มีลูกค้าบางคนขอให้ทำก็ไม่ทำให้
ลูกค้ามานวดแตกต่างกัน เพศ อายุ น้ำหนัก และยังมีอาการอื่นเป็นสิ่งที่อยู่ภายในเราไม่รู้ อาทิ เส้นเลือดบางบีบแรงก็เกิดรอยช้ำ , เป็นโรคกระดูกพรุน-หินปูนเกาะ นวดแรงไม่ได้ หนักขึ้นไปกว่านั้นก็คือ เป็นโรคลิ่มเลือดหากผิดพลาด เส้นเลือดอาจจะอุดตันได้ ทำให้เราต้องรู้ให้ชัดเจน หากไม่รู้ก็ไม่นวดในจุดนั้นๆ สำหรับการนวดที่คอ หรือบิดคออันตรายมาก จะไม่นวดในทุกกรณี จึงขอฝากไปยังหน่วยงานภาครัฐ ขณะนี้ยังมีหรือยังเข้าใจผิดเรื่อง “นวดบิดคอ” อยากจะให้ทำได้เฉพาะผู้เชี่ยวชาญเท่านั้น การนวดเพื่อสุขภาพต้องไม่มี ส่วนตัวยังเสียใจที่น้องผิงมาขอให้แม่นวดแก้ปวดไหล่ แต่แม่เพิ่งผ่าตัดซีดที่ซี่โครงขวามา 2 วัน ทำให้ลูกไม่ได้ จึงไปให้คนอื่นนวดแทน และต้องเสียลูกไป
ด้านนายภูมิณรงค์ อายุ 22 ปี แฟนน้องผิง เผยว่า คุณแม่และญาติๆตัดสินใจแล้ว จะไม่ส่งศพน้องผิงไปผ่าพิสูจน์ ส่วนตัวคิดว่าน้องไม่ได้เสียชีวิตจากการนวด แต่การนวดด้วยการบิดคอ มันคือต้นเหตุทำให้น้องต้องเข้าโรงพยาบาล และต้องแอดมิด เมื่อเข้าโรงพยาบาลต้องใส่เครื่องช่วยหายใจ ที่เป็นท่อยัดเข้าไปในหลอดลมนานๆ อาจเกิดการติดเชื้อได้ ตนคบเป็นแฟนกับน้องผิงมา 3 ปีเศษ ไม่เคยป่วย ไม่เคยไปหาหมอ ไม่มีโรคประจำตัว และยังแข็งแรง การทำงานร้องเพลงวันเว้นวัน
ส่วนการดื่มแอลกอฮอล์เฉพาะลูกค้าเอามาให้หน้าเวทีเท่านั้น การพักผ่อนก็เพียงพอ 8 ชั่วโมง บางทีไม่มีงาน 10-12 ชม.ก็มี และช่วงที่น้องผิงเสียชีวิต ตนเองนอนไม่หลับ จึงไม่ได้ฝันเกี่ยวข้องกับเรื่องเหล่านี้ แต่ช่วงที่น้องผิงนอนรักษาตัวที่โรงพยาบาลไม่มีสติ จะฝันถึงน้องผิงทุกวัน ในความฝันเป็นในการดำเนินชีวิตปกติที่บ้าน
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
อุทาหรณ์สายนวด! นักร้องสาวเสียชีวิต หลังป่วยหนัก เพราะไปนวดบิดคอ
หมอธีระวัฒน์ เตือน บิด สะบัดคอ ระวังอัมพฤกษ์
แม่น้องผิงร่ำไห้! เปิดใจไม่คิดว่าลูกสาวจะเสียชีวิต เพราะนวดท่าบิดคอ
สสจ.อุดรธานี ชี้แจงกรณี "ผิง ชญาดา" พบติดเชื้อในกระแสเลือด-มีเชื้อรา
ร้านนวดเมืองอุดรฯรับผลกระทบมากหลังมีข่าว “น้องผิง” มานวดแล้วเสียชีวิต