"รักชนก"แถลง“แฉเสียดฟ้า กองทุนประกันสังคมจงใจลงทุนผิดพลาด เพื่อเอื้อผลประโยชน์พวกพ้องหรือไม่”

"รักชนก"แถลง“แฉเสียดฟ้า กองทุนประกันสังคมจงใจลงทุนผิดพลาด เพื่อเอื้อผลประโยชน์พวกพ้องหรือไม่”

57110 มี.ค. 68 17:14   |     ข่าวเวิร์คพอยท์

น.ส.รักชนก ศรีนอก สส.กรุงเทพฯ พรรคประชาชน และ นายสหัสวัต คุ้มคง สส.ชลบุรี พรรคประชาชน ร่วมแถลงข่าว “แฉเสียดฟ้า กองทุนประกันสังคมจงใจลงทุนผิดพลาด เพื่อเอื้อผลประโยชน์พวกพ้องหรือไม่”



(10มี.ค.68) น.ส.รักชนก ศรีนอก สส.กรุงเทพฯ พรรคประชาชน และ นายสหัสวัต คุ้มคง สส.ชลบุรี พรรคประชาชน ร่วมแถลงข่าว “แฉเสียดฟ้า กองทุนประกันสังคมจงใจลงทุนผิดพลาด เพื่อเอื้อผลประโยชน์พวกพ้องหรือไม่” กรณีสำนักงานประกันสังคม (สปส.) ซื้ออสังหาริมทรัพย์ย่านพระราม 9 ที่มีข้อสงสัยถึงปัญหาธรรมาภิบาล


โดยนางสาวรักชนก ระบุว่า การลงทุนคือหัวใจสำคัญของกองทุนประกันสังคม เพราะการที่กองทุนจะอยู่ได้หรือจะล้มอยู่ที่การนำเงิน 2.6 ล้านล้านบาทในกองทุนไปบริหารจัดการอย่างไร ซึ่งกรณีวันนี้เป็นแค่ส่วนหนึ่งที่ทำให้เห็นถึงปัญหาธรรมาภิบาลในการลงทุนของ สปส. ที่เล่นแร่แปรธาตุซื้อตึกมูลค่า 3 พันล้านบาท ด้วยราคา 7 พันล้านบาทในปี 2565-2566 ซึ่งไม่ใช่ตึกที่เพิ่งสร้างเสร็จ แต่เป็นตึกที่ในอดีตช่วงวิกฤตเศรษฐกิจต้มยำกุ้งเป็นตึกร้าง จนกระทั่งมีบริษัทแห่งหนึ่งซื้อตึกไปปรับปรุงซ่อมแซม เมื่อปรับปรุงเสร็จก็ประจวบเหมาะกับช่วงที่ สปส. ปรับแก้ระเบียบต่างๆ ทำการศึกษา และมีการตัดสินใจลงทุนพอดี


ตึกแห่งนี้ในช่วงปลายปี 2565 มีอัตราการเข้าทำกำไรหรืออัตราการเช่าอยู่ที่ 1% เท่านั้น อย่างไรก็ตาม สปส. ได้เข้าซื้อตึกนี้โดยมีการทำแผนงานที่สวยหรูเกินจริง อ้างถึงผลตอบแทนที่จะได้รับอย่างเหมาะสม แต่เมื่อเริ่มดำเนินการกลับมีผู้เช่าในปีแรกเพียง 1-2% เท่านั้น ปัจจุบันตัวเลขที่ สปส. รายงานมีคนเข้าใช้ตึกประมาณ 40% แต่เป็นตัวเลขที่น่าสงสัย น่าจะมีการรวมผู้เช่าที่คาดว่าจะเข้ามาใช้ในอนาคตด้วย และตัวเลขจริงอาจต่ำกว่า 40% อยู่ที่เพียง 20-30% เท่านั้น


นางสาวรักชนก กล่าวต่อไปว่า ตึกนี้ทำกำไรในปี 2567 ประมาณ 40 ล้านบาท แต่ค่าบริหารจัดการรวมกับค่าจ้างกองทุนในการบริหารอยู่ที่ประมาณ 50 ล้านบาท ถ้าทำกิจการด้วยอัตรานี้ต่อไปเท่ากับจะติดลบทุกปี เงิน 7 พันล้านบาท ที่ สปส. ทุ่มลงทุนไปจะสูญเปล่า ตึกแห่งนี้ถูกตั้งเป้าจัดทำประเมินการคาดการณ์ไว้อย่างสวยหรู แต่ตัวเลขที่ปรากฏในปัจจุบันต่ำกว่าเป้าทั้งหมด ทั้งการคาดการณ์ที่บอกว่าภายใน 2 ปีจะมีผู้มาเช่าใช้ 60% แต่ตัวเลขตามรายงานอยู่ที่ 40% และต่อให้มีคนมาเช่าใช้ 100% ก็ต้องใช้เวลา 30 ปีกว่าจะคืนทุน


กรณีดังกล่าวสะท้อนให้เห็นว่าสำนักงานประกันสังคมในยุคที่ผ่านมามีปัญหาเรื่องธรรมาภิบาล เอกสารทุกอย่างในการศึกษามีความพยายามตีความให้เข้าข้างว่าต้องซื้อ และยังมีคำถามอีกว่าทำไม สปส. ถึงตัดสินใจใช้เงิน 7 พันล้านบาทในการลงทุนตึกแห่งเดียว แทนที่จะมีการกระจายความเสี่ยงไปยังแหล่งอื่นๆ สปส. ไม่มีประสบการณ์ในการบริหารสินทรัพย์แบบนี้ แล้วทำไมถึงยังลงทุนในตึกแห่งนี้


นางสาวรักชนก กล่าวอีกว่า ตึกแห่งนี้ในช่วงวิกฤตต้มยำกุ้งเดิมชื่อ ICE ในช่วงโควิด-19 มีการประเมินมูลค่าของตึกนี้อยู่ที่ 3 พันล้านบาท ทำไม สปส. ถึงยอมจ่ายเงิน 7 พันล้านบาทเพื่อซื้อของในราคา 3 พันล้านบาท ทั้งที่ทุกล้านบาทที่ สปส. ประหยัดได้และนำไปลงทุนให้ได้ผลตอบแทน 5% ไปอีก 30 ปี จะงอกขึ้นมาเป็นเงิน 4.32 ล้านบาท นี่คือค่าเสียโอกาสที่เกิดขึ้นของผู้ประกันตน


“ตนอยากให้สื่อมวลชนลองคุ้ยประวัติของตึกนี้ว่ามือแรกและมือถัดๆ มามีชื่อใครเป็นเจ้าของ มีชื่อใครปรากฏอยู่บ้าง มีนักการเมืองพรรคไหนบ้างหรือไม่ นี่เป็นเรื่องที่น่าสงสัยเพราะอดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงานก็อยู่ในพรรคพลังประชารัฐ ตึกนี้ปรับปรุงเสร็จเมื่อต้นปี 2565 หลังจากพร้อมใช้งานก็พร้อมขายต่อให้ สปส. เลย เป็นการตกแต่งหน้าตาของตึกโดยรู้อยู่แล้วว่า สปส. พร้อมจะซื้อเลยหรือไม่ นอกจากนี้ตนยังได้ยินข่าวลือมาอีกว่า สปส. พยายามย้ายสำนักงานบางส่วนเข้ามาใช้พื้นที่ในตึกนี้ แต่มันเป็นเพียงการย้ายเงินจากกระเป๋าซ้ายมาเข้ากระเป๋าขวาหรือไม่ หรืออาจจะเป็นการอยากให้ตัวเลขการเช่าใช้ตึกสูงขึ้นหรือไม่” นางสาวรัชนก กล่าว


นางสาวรัชนก ยังกล่าวต่อไปว่า จากเรื่องที่ตนได้เปิดมาตั้งแต่มีการแฮ็กงบประมาณ สปส. นอกจากโครงการเว็บแอป 850 ล้านบาทที่ทุกวันนี้ยังไม่เสร็จ ยังไม่มีการปรับ และยังมีพิรุธเต็มไปหมด หรือโครงการต่างๆ ที่เป็นการใช้งบประมาณที่ไม่คุ้มค่าและไม่สอดคล้องกับงานของ สปส. เช่นการทำปฏิทิน วันนี้สังคมไปไกลหลายเรื่องแล้ว แต่ฝ่ายการเมืองถึงที่สุดกลับยังไม่ออกมาทำอะไรเรื่องนี้ ไม่ตั้งกรรมการสอบ ไม่สืบหาข้อเท็จจริง ตนจึงขอเรียกร้องไปถึงรัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน อย่างน้อยที่สุดควรตั้งกรรมการในการสอบสวนเรื่องนี้อย่างจริงจัง


“การลงทุนซื้อตึก 7 พันล้าน ส่วนต่างของมูลค่าจริงกับเงินที่จ่ายไปคือ 4 พันล้าน ดิฉันอยากตั้งคำถามว่าใครได้กำไร ประกันสังคมไม่ได้กำไรแน่นอน แต่ดิฉันเชื่อว่ามีคนกำไรแล้ว นอกจากนี้ในปีที่มีการลงทุนซื้อตึกนี้ก็เป็นช่วงที่ใกล้เลือกตั้งพอดี มีพรรคการเมืองใดมาหากินโดยเอาส่วนต่างของประกันสังคมไปเป็นทุนทรัพย์ในการเลือกตั้งหรือไม่” นางสาวรักชนกกล่าว


นายสหัสวัต ระบุว่า ในการเข้าลงทุนของประกันสังคม โดยปกติแล้ว สปส. จะทำแผนการลงทุน 5 ปีโดยบอร์ดใหญ่ ซึ่งเป็นเพียงการกำหนดกรอบการลงทุนใหญ่ๆ แต่คนที่ตัดสินใจจริงคืออนุกรรมการการลงทุนที่พิจารณาแผนลงทุนรายปี และคนที่มีอำนาจตัดสินใจจริงๆ ในการอนุมัติลงทุนนอกตลาดแบบนี้คือเลขาธิการสำนักงานประกันสังคม


ในช่วงปี 2565 มีความพยายามให้ สปส. ลงทุนนอกตลาดหุ้นมากขึ้น มีการพิจารณาแผนรายปีขึ้นมา ซึ่งตนขอตั้งคำถามว่ามีการแทรกแซงของฝ่ายการเมืองในการตัดสินใจซื้อสินทรัพย์ต่างๆ หรือไม่ เพราะคนที่มีอำนาจแต่งตั้งโยกย้ายข้าราชการในส่วนนี้คือรัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน ซึ่งในช่วงปี 2565 มีการแต่งตั้งโยกย้ายเด็กหน้าห้องของตัวเองมาอยู่ในกลุ่มงานบริหารความเสี่ยงและกำกับการลงทุน เพื่อทำแผนรายปีและตัดสินใจว่าจะซื้ออะไร โดยอนุกรรมการการลงทุนนอกตลาดที่ตั้งขึ้นมาก็มีคนหน้าห้องคนเดิมเข้าไปอยู่ในอนุกรรมการชุดนั้นด้วย นอกจากนั้นยังมีที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงานในขณะนั้นเข้ามาอยู่ในอนุกรรมการด้วย


นายสหัสวัต กล่าวต่อไปว่า นอกจากนี้การเข้าซื้ออสังหาริมทรัพย์ของ สปส. สามารถซื้อโดยตรงได้ แต่การลงทุนซื้อตึกนี้กลับมีความซับซ้อน เพราะเป็นการตั้งกองทรัสต์ขึ้นมากองหนึ่งมูลค่า 9.8 พันล้านบาท โดย 30% เป็นการลงทุนในต่างประเทศ แต่ 70% กลับทุ่มมาซื้อตึกนี้ที่เดียว แล้วยังให้กองทรัสต์ไปซื้อบริษัทแห่งหนึ่งที่มีสินทรัพย์เพียงอย่างเดียวคือตึกแห่งนี้ เป็นการลงทุนซ้ำซ้อนและมีความพยายามปกปิด ทำให้น่าสงสัยว่าทำไมต้องมีการปกปิดขนาดนี้


นายสหัสวัต กล่าวว่า ปกติกองทุนใหญ่ๆ ทั่วโลกที่มีการลงทุนนอกตลาดหุ้นในอสังหาริมทรัพย์ครั้งแรก มักจะไปร่วมลงทุนกับกองทุนอื่นๆ ที่มีความเชี่ยวชาญ มีการกระจายความเสี่ยง ไม่มีใครทุ่มซื้อตึกแห่งเดียวแบบนี้ จนตนต้องตั้งข้อสงสัยว่าดีลตึกนี้มีความเกี่ยวข้องกับฝ่ายการเมืองหรือไม่ เพราะมีการโยกเด็กหน้าห้องตัวเองมาทำดีลนี้โดยตรง และมาอยู่ในอนุกรรมการที่ผลักดันให้เกิดดีลนี้


“ที่ผ่านมาการลงทุนของประกันสังคมไม่เคยเปิดเผยต่อประชาชนว่าทำอะไร ซื้อตึกที่ไหนบ้าง เรื่องนี้เป็นเรื่องใหญ่ ตราบใดที่การลงทุนของประกันสังคมยังอยู่ในมุมมืดแบบนี้ก็อาจจะเปิดช่องให้นักการเมืองเข้าไปแทรกแซงแล้วหาเงินกับเรื่องนี้ได้ การโยกย้ายข้าราชการในปี 2565 เป็นอำนาจโดยตรงของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงานในขณะนั้น ท่านเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้หรือไม่ และท่านได้ประโยชน์อย่างไรจากการซื้อตึกแห่งนี้” นายสหัสวัต กล่าว


นายสหัสวัต ยังกล่าวต่อไปว่า เงินของผู้ประกันตนทุกบาทควรถูกพิจารณาอย่างโปร่งใส ไม่ควรมีใครได้ผลประโยชน์เอื้อพวกพ้องจากเรื่องนี้ การลงทุนของ สปส. มีปัญหาและถูกแทรกแซงจากผู้มีอำนาจ อีกทั้งโครงสร้างของ สปส. ทุกวันนี้ก็มีปัญหาจริงๆ และต้องได้รับการปฏิรูป นายกรัฐมนตรีควรตั้งกรรมการสอบสวนเรื่องนี้และบุคคลที่เกี่ยวข้องกับการซื้อตึกนี้โดยตรง ไม่ว่าจะเป็นคนที่มีอำนาจในการอนุมัติคือเลขาธิการสำนักงานประกันสังคม ซึ่งในขณะนั้นคือ บุญสงค์ ทัพชัยยุทธ์ ปัจจุบันเป็นปลัดกระทรวงแรงงาน ซึ่งไม่เคยออกมาตอบคำถามใดๆ ว่าเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้หรือไม่ รวมถึงอดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน สุชาติ ชมกลิ่น เกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ด้วยหรือไม่


และต่อให้แม้เรื่องนี้จะไม่เกี่ยวข้องกับรัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงานและเลขาธิการ สปส. คนปัจจุบัน แต่รัฐมนตรีฯ ก็ควรตั้งกรรมการสอบสวนย้อนหลังถึงการลงทุนที่ผิดปกติของ สปส. โดยในการประชุมบอร์ด สปส. วันพรุ่งนี้นอกจากเรื่องการพิจารณาปรับสูตรคำนวณเงินบำนาญแล้ว ยังจะมีการพิจารณาหลักเกณฑ์ในการเข้าซื้ออสังหาริมทรัพย์อีกครั้ง ซึ่งสังคมและสื่อมวลชนควรต้องช่วยกันจับตามองเพื่อไม่ให้เกิดการซื้อตึกแบบแปลกๆ เช่นนี้อีกในอนาคต


ข่าวเวิร์คพอยท์23

TAGS:

ข่าวที่เกี่ยวข้อง