“ทรัมป์” ฟิตจัด วันแรกเซ็นคำสั่งเพียบ!

“ทรัมป์” ฟิตจัด วันแรกเซ็นคำสั่งเพียบ!

33021 ม.ค. 68 19:57   |     ข่าวเวิร์คพอยท์

“โดนัลด์ ทรัมป์” ฟิตจัด เพิ่งสาบานตนก็ลุยเซ็นคำสั่งเพียบ ทั้งเพิกถอนคำสั่งเดิมของ “โจ ไบเดน” 78 ฉบับ และเซ็นคำสั่งใหม่ ที่สร้างความรู้สึกกังวลให้หลายฝ่ายถึงหน้าตาของอเมริกาใน 4 ปีต่อจากนี้

(21 ม.ค. 68) โดนัลด์ ทรัมป์ สร้างเรื่องฮือฮาให้ทั้งชาวอเมริกันและชาวโลก หลังเจ้าตัวเริ่มสมัยที่ 2 ของตัวเองด้วยการเซ็นรื้อ-ออกคำสั่งจำนวนมากแทบจะทันที หลังจบจากพิธีสาบานตนเป็นประธานาธิบดี คนที่ 47 ของสหรัฐอเมริกา


การเซ็นคำสั่งเหล่านี้สร้างความกังวลให้หลายฝ่ายที่เฝ้ามองการเปลี่ยนแปลงของอเมริกาว่าจะ “หันขวา” มากแค่ไหนในการดำรงตำแหน่งอีกครั้งของทรัมป์ คำสั่งล็อตแรกทรัมป์ลงมือเซ็น คือการเพิกถอนคำสั่ง 78 ฉบับ ที่ โจ ไบเดน อดีตประธานาธิบดี ที่เพิ่งก้าวลงจากตำแหน่งหมาดๆ เป็นคนเซ็นไว้


นอกจากนั้นก็มีคำสั่งที่ออกมาเพื่อให้การโอนถ่ายงานให้กับรัฐบาลชุดใหม่เป็นไปอย่างราบรื่น เช่น คำสั่งป้องกัน จนท.ออกกฎหมาย ก่อนโอนถ่ายอำนาจสมบูรณ์, คำสั่งชะลอการจ้างงาน พนักงานรัฐบาลกลาง ยกเว้นบุคลากรทางทหาร, คำสั่งให้พนักงานรัฐบาลกลางกลับมาทำงานเต็มเวลา ห้าม WFH, คำสั่งให้ฟื้นฟูเสรีภาพในการพูด, คำสั่งยุติการใช้อาวุธของรัฐบาลต่อศัตรูทางการเมืองของฝ่ายบริหารชุดก่อน ฯลฯ


แต่ก็มีอีกหลายคำสั่งที่ดูน่ากังวล และสะท้อนถึงแนวทางนโยบายที่ ทรัมป์ จะใช้ใน 4 ปีต่อจากนี้ ไม่ว่าจะเป็นการถอนตัวจากความตกลงปารีสว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงภูมิอากาศ ที่มีประเทศที่ให้การรับรอง 200 ประเทศ เป็นความร่วมมือกันเรื่องการปล่อยก๊าซเรือนกระจกเพื่อควบคุมการเพิ่มขึ้นของอุณหภูมิเฉลี่ยของโลกให้ต่ำกว่า 2 องศาเซลเซียส และพยายามไม่ให้เกิน 1.5 องศาเซลเซียสเมื่อเทียบกับช่วงก่อนปฏิวัติอุตสาหกรรม


หรือการประกาศภาวะฉุกเฉินระดับชาติในชายแดนทางใต้ ที่เป็นส่วนหนึ่งในแนวทางเรื่องผู้อพยพที่ลักลอบข้ามแดนจากประเทศเม็กซิโก และการงดให้สัญชาติตามหลักดินแดน แก่ลูกของผู้อพยพเหล่านั้น นอกจากนี้ยังมีรายงานว่าทรัมป์ลงนามในคำสั่งระงับโครงการตั้งถิ่นฐานใหม่ของผู้ลี้ภัยของสหรัฐฯ เป็นเวลา 4 เดือนด้วย


ในแง่การเมือง ทรัมป์เซ็นอภัยโทษให้ผู้สนับสนุนของตนเอง จำนวนราว 1,500 คน ที่ก่อจราจลและบุกรัฐสภาเมื่อวันที่ 6 ม.ค. 64 ที่เรียกกันว่าเหตุ J6 Hostage การตัดสินใจนี้ทำให้ทรัมป์ถูกประนามจาก แนนซี เพโลซี ประธานสภาผู้แทนราษฎรพรรคเดโมแครต ซึ่งอยู่ในเหตุการณ์เมื่อครั้งนั้นด้วยว่านี่เป็นการดูหมิ่นระบบยุติธรรมอย่างร้ายแรง


ขณะเดียวกันทรัมป์ได้เซ็นคำสั่งชะลอการบังคับใช้คำสั่งห้ามการให้บริการของแอปพลิเคชัน ติ๊กตอก ในสหรัฐฯ ออกไปอีก 75 วัน เพื่อเปิดทางให้มีการเจรจาข้อตกลงผลประโยชน์กับถ้าบริษัทเจ้าของแพลตฟอร์มชื่อดัง โดยทรัมป์มองว่าสหรัฐฯ ควรได้สิทธิถือหุ้น 50% ในแพลตฟอร์มดังกล่าวสำหรับการดำเนินการในสหรัฐฯ แต่หากการเจรจาไม่บรรลุผล ติ๊กตอกก็ต้องพับเสื่อกลับบ้านไป


นอกจากนี้ ทรัมป์ ได้เซ็นตั้งกระทรวงประสิทธิภาพรัฐบาล (Department of Government Efficiency - Doge) หน่วยงานที่ไม่ได้มีสถานะเป็นกระทรวงอย่างเป็นทางการ มี อีลอน มัสก์ นั่งเป็นหัวเรือใหญ่ และจะมีที่ทำงานในทำเนียบข่าว การจัดตั้งหน่วยงานนี้และการยกให้ อีลอน เป็นคนคุม สอดคล้องกับที่ อีลอน เคยปราศรัยไว้ในระหว่างช่วยทรัมป์หาเสียงว่า งบประมาณของสหรัฐฯ นั้นสามารถปรับลดลงได้ 2 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ (ราว 70 ล้านล้านบาท) จากประมาณ 6.5 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ และสามารถปรับลดการจ้างงานพนักงานของรัฐลงได้อีก


ในจำนวนคำสั่งที่ทรัมป์เซ็นในวันนี้ มีคำสั่งให้เริ่มกระบวนการถอนตัวจากองค์การอนามัยโลกรวมอยู่ด้วย เขากล่าวว่าที่ผ่านมาสหรัฐฯ ต้องจ่ายเงินจำนวนมากอย่างไม่เป็นธรรมให้กับองค์การอนามัยโลก


อีกประเด็นที่มีความกังวลกันมากคือเรื่องแนวนโยบายเพื่อสนับสนุนความหลากหลาย หรือ DEI ในวันนี้ทรัมป์ได้เซ็นคำสั่งฝ่ายบริหาร ที่ให้การรับรองเพศสภาพเพียง 2 เพศ คือ ชายและหญิง โดยเพศสภาพเหล่านี้ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงได้และมีพื้นฐานอยู่บนความเป็นจริงขั้นพื้นฐานและไม่อาจโต้แย้งได้


ในวันที่ทรัมป์ได้รับชัยชนะในการเลือกตั้ง กลุ่ม LGBTIQA และพันธมิตร ในสหรัฐฯ ต่างก็ออกมาแสดงความกังวลเรื่องแนวนโยบายของทรัมป์ในเรื่องสิทธิความหลากหลายทางเพศ การเซ็นคำสั่งดังกล่าวได้ตอกย้ำความกังวลดังกล่าว โดยการเซ็นคำสั่งดังกล่าวจะส่งผลถึงนโยบายและโครงการต่างๆ ที่เคยมีมา รวมถึงส่งผลถึงเรื่องเอกสารราชการด้วย


นอกจากเรื่องที่มีการเซ็นคำสั่งไปแล้ว ยังมีอีกหลายประเด็นที่ยังคงต้องจับตามอง ทั้งเรื่องกำแพงภาษี กับแคนาดา เม็กซิโก และจีน, เรื่องการตั้งคลังบิทคอยน์ ของรัฐบาลกลางเพื่อเป็นสินทรัพย์สำรอง, รวมถึงการเปิดเอกสารลับเกี่ยวกับการลอบสังหาร อดีตประธานาธิบดี จอห์น เอฟ เคเนดี, วุฒิสมาชิกโรเบิร์ต เคเนดี, และ มาร์ติน ลูเธอร์ คิง นักเคลื่อนไหวเพื่อสิทธิคนผิวดำ 



TAGS:

ข่าวที่เกี่ยวข้อง